บทที่ 2 เสิ่นลู่ซือคนใหม่ 2/2
งานเลี้ยงพระราชวัง
เสิ่นลู่ซือมาปรากฏกายที่งานเลี้ยงของพระราชวังด้วยท่าทางที่สง่างาม วันนี้นางตั้งใจแต่งกายด้วยอาภรณ์สีม่วงเข้ม เพื่อขับผิวกายที่ขาวผ่องให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ดวงหน้าที่งดงามของเสิ่นลู่ซือ เพียงแค่ประทินโฉมเล็กน้อยก็ช่วยขับความงามที่มีอยู่เปี่ยมล้นให้ฉายชัดออกมา นางมีดวงตากลมโตที่เปล่งประกายราวกับดวงดารา ขนตาสีดำงอนยาวเป็นแพสวย จมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงอมชมพูระเรื่อ ช่างดูน่าดึงดูดให้เหล่าภมรเข้ามาดอมดม เครื่องหน้าทั้งห้าของเสิ่นลู่ซือรับกันอย่างพอเหมาะพอเจอะ
เมื่อครั้นที่เสิ่นลู่ซืออายุได้สิบห้าหนาว นางก็ได้รับการขนานนามให้กลายเป็นยอดพธูแห่งเมืองหลวง ความงามของนางเคยมีคนกล่าวไว้ว่า
‘งดงามดั่งดวงดารา เปล่งแสงสะกดให้ผู้คนต้องหลงใหล แต่ทำได้เพียงแค่มองไม่สามารถครอบครองได้’
อันเนื่องมาจากเวลานั้นผู้คนต่างคิดว่าเสิ่นลู่ซือจะได้เป็นพระชายาในองค์รัชทายาท แต่หลังจากนั้นแค่สองปีพระองค์ก็ได้ขอสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ ให้หมั้นหมายกับคุณหนูรองแห่งจวนเสนาบดีกรมคลัง
ณ เวลานั้นผู้คนต่างพากันประหลาดใจ และเสิ่นลู่ซือที่ยังเป็นเพียงดรุณีน้อยก็ได้รับคำครหาจากผู้คนในเมืองหลวง นางที่ไม่อาจทนรับความอัปยศนี้ได้จึงได้ตามรังควานคุณหนูรอง ‘มู่ซูเจียว’ ว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท
“ท่านราชครูเสิ่นฮุ่ยหมิ่น คุณหนูเสิ่นลู่ซือมาถึงแล้ว”
เสียงของขันทีประกาศการมาถึงของสองพ่อลูกแห่งจวนตระกูลเสิ่น
เสิ่นลู่ซือเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงหน้าที่งดงามแต่งแต้มรอยยิ้มบางเบา นางเดินเคียงคู่มากับท่านพ่อด้วยท่าทีที่ทั้งสุขุมและสง่างาม
ผู้คนโดยรอบต่างหันมามองทั้งสอง แล้วหันกันไปหัวเราะคิกคักกับคู่สนทนา
“ตายจริง ไม่คิดว่าคุณหนูเสิ่นยังจะกล้ามาปรากฏกายที่งานเลี้ยงของพระราชวังอีกนะเจ้าคะ”
คุณหนูผู้หนึ่งเอ่ยกับสหายด้วยน้ำเสียงดูถูก พลางยกพัดขึ้นมาปิดปากที่หัวเราะร่าของตนเอง
“นั่นสิเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงได้หน้าหนาเช่นนี้ ครั้งนั้นก็เกิดเรื่องที่คุณหนูมู่พลัดตกน้ำ ก็เป็นฝีมือนางไม่ใช่หรือเจ้าคะ ถึงตอนนั้นองครักษ์ของรัชทายาทจะเข้ามาเป็นพยานว่าไม่ใช่ฝีมือของนาง แต่ผู้ใดจะเชื่อกัน”
น้ำเสียงที่ไม่เบานักตั้งใจให้ดังไปถึงหูของเสิ่นลู่ซือ พวกนางหมายจะเห็นใบหน้าที่เกรี้ยวกราด และการแสดงท่าทีที่หยิ่งผยองของนาง แต่ทุกอย่างกลับผิดพลาดไปหมด
เสิ่นลู่ซือหันใบหน้ามายิ้มหวานให้กับคุณหนูทั้งสองที่นินทานาง รอยยิ้มหวานละมุนที่ไปไม่ถึงดวงตากลับทำให้ทั้งสองคนขนกายลุกชันด้วยหวาดหวั่น
ท่าทีที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนของเสิ่นลู่ซือ ทำให้ผู้คนล้วนแปลกใจ ข่าวลือที่นางตรอมใจเพราะองค์รัชทายาท จนนอนซมไม่ได้สติมาสามวันสามคืนคงจะเป็นเรื่องจริงสินะ
หรือว่านางจะคิดได้แล้วว่าตัวเองไม่ควรมักใหญ่ใฝ่สูง อาจเอื้อมในสิ่งที่มีเจ้าของแล้วกัน
สองพ่อลูกตระกูลเสิ่นไม่ได้สนใจคำพูดของผู้อื่น พวกเขาทั้งสองเดินกันไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้แล้ว งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ถูกจัดขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮองเฮาแห่งแคว้นหวง
ตามธรรมเนียมของแคว้นหวง ที่นั่งของบุรุษและสตรีจะต้องแยกออกจากกัน ดังนั้นเสิ่นลู่ซือจึงต้องแยกจากบิดา นางถูกนางกำนัลเชิญให้ไปนั่งยังที่นั่งที่อยู่ด้านหน้าซึ่งอยู่ข้างกับมู่ซูเจียว
ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ ทั้งที่ฮองเฮาก็ทรงรู้ว่าทั้งสองเป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่ก็ยังจัดที่นั่งให้อยู่ใกล้กันเช่นนี้อีก
หากเป็นเสิ่นลู่ซือคนเก่าคงได้อาละวาดกับนางกำนัล อาจจะทำให้มารดาแห่งแผ่นดินต้องเคืองพระทัย ซึ่งโทษทัณฑ์ที่นางได้รับอาจจะถึงขั้นโบย และไม่ได้มาเหยียบย่างในวังหลวงแห่งนี้อีก
มู่ซูเจียวที่รับรู้ว่าเสิ่นลู่ซือมานั่งใกล้นาง เนื้อตัวของนางก็อดจะสั่นเทาขึ้นมาเสียไม่ได้ ความหวาดกลัวเมื่อตอนที่จมน้ำในสระลึกที่เหน็บหนาว ยังคงสลักลึกในความทรงจำของนาง ในตอนนั้นนางเพียงรู้สึกว่าถูกมือของสตรีผลักจากทางด้านหลัง แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดกันแน่
“คุณหนูมู่ ไม่ได้พบกันเสียนานสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” น้ำเสียงแว่วหวานที่เอ่ยทักทาย ทำให้มู่ซูเจียวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“เอ่อ...ข้าสบายดีเจ้าค่ะ” นางตอบรับเป็นมารยาท ภายในใจยังคงหวาดกลัวกับท่าทางของสตรีที่เคยตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง
เสิ่นลู่ซือแสร้งถอนหายใจให้มู่ซูเจียวเห็น สีหน้าของนางดูมัวหมองนัก
“คุณหนูมู่ ข้ามีเรื่องจะสารภาพเจ้าค่ะ”
“ระ เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่โง่เขลาไปเองเจ้าค่ะ ข้าถึงได้ทำตัวที่เสียมารยาทต่อท่านไปมากมายนัก แต่ตอนนี้ข้าคิดได้แล้ว”
นางเอื้อมไปจับมือที่เนียนนุ่มของมู่ซูเจียวอย่างถือวิสาสะ
“ความรักที่ข้ามีให้กับองค์รัชทายาทหาใช่อย่างคนรักไม่ มันเป็นเพราะข้ากับพระองค์ผูกพันกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ข้ารักและเทิดทูนพระองค์ดั่งพี่ชาย คราแรกที่รู้ว่าท่านจะเข้ามาเป็นพระชายา ข้าจึงได้ตั้งแง่และต่อต้านท่าน ทั้งยังแอบกลั่นแกล้งท่านสารพัด แต่ต่อไปนี้จะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะ ข้ารู้แล้วว่าท่านนั้นเหมาะสมกับองค์รัชทายาทมากที่สุด”
ดวงตากลมโตมองสบประสานดวงตาของมู่ซูเจียว นางหวังว่าคำพูดเมื่อครู่จะพอให้ทลายความรู้สึกที่ไม่ดีออกไปได้บ้าง
“คุณหนูเสิ่นแน่ใจหรือเจ้าคะว่าที่ท่านพูด ไม่ได้กำลังล้อเล่นหรือโกหกข้า”
สมกับเป็นนางเอกของเรื่อง อ่อนแอแต่ไม่โง่
“ข้าจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจของข้าเองเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงและแววตาที่ดูจริงใจของเสิ่นลู่ซือ ทำให้มู่ซูเจียวเริ่มคลายความระแวงลง
“เจ้าค่ะ ครั้งนี้ข้าจะลองเชื่อคุณหนูเสิ่นดูสักครั้ง”
“ขอบคุณนะเจ้าคะ ข้าคิดแล้วว่าท่านจะต้องเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้ ท่านช่างเหมาะสมกับองค์รัชทายาทยิ่งนัก”
เสิ่นลู่ซือผุดยิ้มกว้างออกมาด้วยความโล่งใจ
