ตอนที่4. เสียหมาจริงๆ
“โฮ่ง โฮ่ง ๆๆๆๆ”
“จุ๊ จุ๊ หยุดเห่า เดี๋ยวนี้ พะโล้ เดี๋ยวพาไปเที่ยววัดแล้วลืมทิ้งเลยวุ้ย!”
เสียงเห่ากรรโชกของเจ้าหมาพันธุ์ไทยหลังอานสีดำปลอด รูปร่างดี กล้ามเนื้อแขนขาเป็นมัดเกร็งเมื่อมันตั้งท่าสี่ขา มันยังไม่มีทีท่าลดละเมื่อได้ยินเสียงปรามของเจ้านาย ชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง เดินช้าๆออกมาจากประตูบ้าน ในสภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอน เขาเดินมาที่รั้ว พร้อมกับขยี้หัวตัวเองไปด้วย พลางขยับแว่นสายตากรอบหนา
หน้าตาอย่างกับ ดอกเตอร์สติเฟื่อง...มินตราค่อน
ดอกเตอร์บุญเติม ไม่ได้ผิดไปจากที่หล่อนคาดไว้ หากเขาแก่กว่านี้อีกสักสิบยี่สิบปี คงเหมือนไอน์สไตน์ที่หล่อนเคยเห็นในภาพถ่ายตามหนังสือวิทยาศาสตร์
หญิงสาวหยิบบัตรประจำตัวของหล่อนส่งให้ ดอกเตอร์บุญเติม
เขารับไปดูเพียงผ่านตา อ่านชื่อกับตำแหน่งหล่อนคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว คงรู้อยู่ก่อนแล้วว่า องค์กรลับของหน่วยสืบสวน จะส่งบอดี้การ์ดมาดูแลคุ้มครอง
ดอกเตอร์บุญเติม เงยหน้ามองหล่อนอีกครั้ง ทีแรกยังนึกว่าบอดี้การ์ดสาวคงจะกล้ามโตเป็นมัด อย่างนักยกน้ำหนักสาวทีมชาติหรือไม่ก็หน้าตาดุดันผิวคล้ำน่ากลัว หากตรงหน้าเขายามนี้ กลับเป็นเพียงหญิงสาวรูปร่างสมส่วนมีกล้ามเนื้อเหมือนคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ
หน้าตาหล่อนเป็นดาราได้สบาย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณมินตรา”
เขายิ้มให้หล่อน แต่อีกฝ่ายกลับค้อมหัวกลับมานิดหนึ่ง ท่าทางหล่อนช่างไม่เป็นมิตรเสียเลย
“เปิดประตูรั้วได้หรือยังคะ ฉันจะได้รีบเอาสัมภาระเข้าไปเก็บ ยังมีอะไรที่ต้องจัดการอีกหลายอย่าง”
หล่อนบอกเขา
“ครับ ครับ ได้เลยครับ”
ดอกเตอร์บุญเติมหน้าเจื่อน เขารีบกุลีกุจอเปิดประตูรั้วให้มินตรา รวมทั้งยื่นมือไปช่วยรับกระเป๋าเดินทางของหล่อน
“ไม่ต้องค่ะ ฉันถือได้ไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับของส่วนตัว”
“เอ่อ ครับ ครับ”
อีกครั้ง....ชายหนุ่มรู้สึกเสียหน้า เพราะความหวังดีมีน้ำใจของเขากลับกลายเป็นความจุ้นจ้านในสายตาหล่อนไปได้ เขาหันกลับไปปิดประตูรั้ว หันมาอีกที....อ้าว หล่อนเดินไปแล้ว แต่ระหว่างทางโรยด้วยกรวดจากประตูรั้วไปถึงหน้าบ้าน ไอ้พะโล้ที่ยืนรอท่าอยู่ กระโจนออกมาขึงขังจะงาบหล่อน
ดอกเตอร์บุญเติมกำลังจะร้องปราม หากปฏิกิริยาของไอ้พะโล้กลับทำให้เขานิ่งงัน
“หงิ๋ง หงิ๋ง.....”
มันหยุดชะงักทันทีที่มินตราถลึงตาใส่ หล่อนหยุดยืนนิ่ง ทำท่าว่า เอาเรื่องแน่ ถ้าขืนเข้ามาใกล้แม่มากกว่านี้
และแล้ว...พะโล้ก็งอสองขาหน้าลงหมอบตูดโด่งพลางแกว่งหางไปมา แถมส่ายหัวฉีกยิ้มทำท่าน่าเอ็นดู
ชายหนุ่มมองตามด้วยความงุนงง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความแปลกใจ ตกลงหล่อนเป็นบอดี้การ์ดหรือแม่มดกันแน่ ถึงจัดการจนพะโล้กลายเป็นหมาหมดสภาพไปเลย
เสียหมาจริงๆ....
ชายหนุ่มจึงเดินรีบตามไปเปิดประตูให้หล่อนเข้าไปภายในบ้าน
หล่อนยื่นหน้าเข้าไปสำรวจภายในบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กของเขา
ส่วนชั้นล่างที่เขาจัดเป็นส่วนครัวกับห้องรับแขกโล่งโปร่งสบาย มุมหนึ่งมีชั้นหนังสือสูงติดเพดานแออัดไปด้วยหนังสือเต็มทุกชั้นนับไม่ถ้วน
เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นในบ้าน ส่วนใหญ่มีไว้เพื่อการใช้จริงมากกว่าตั้งโชว์ หนุ่มโสดอย่างเขา ไม่มีเวลาจัดเก็บบ้านเพราะยี่สิบสี่ชั่วโมงของวันหมดไปกับเรื่องงาน ไอ้ที่ทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบและไม่รกมาก เพราะเขาต้องทำงานจนไม่มีเวลาออกมาหยิบจับข้าวของอื่นนอกจากในห้องทดลองต่างหาก
ช่วงนี้... เขาลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเพื่อทุ่มเทให้กับงานทดลองชิ้นสำคัญ ถ้าสำเร็จมันจะทำให้นักค้ายาเสพติดต้องเปลี่ยนอาชีพที่เคยทำกำไรมหาศาลบนธุรกิจบาปไปเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องได้รับการคุ้มครองอย่างดี ก่อนถูกเด็ดหัวไม่ให้ทำการทดลองต่อไป
“คุณมินตราพักชั้นบนนะครับ ผมเตรียมห้องพักไว้แล้ว”
ชายหนุ่มรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ไม่เคยมีสุภาพสตรีมาที่บ้านหลังนี้นานแล้ว เขาผายมือเชิญหล่อนขึ้นไปบนชั้นสอง
