บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 6 ผู้หญิงโง่เง่า

“วิน แกอย่าลืมรับหนูแนนไปลองชุดแต่งงานด้วยนะ” ผู้ให้กำเนิดทบทวนความจำบุตรชายหลังจากที่ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่ว่าที่เจ้าบ่าว-เจ้าสาวที่ยังมีเรื่องคลุมเครือและไม่พร้อมสักเท่าไหร่

“ครับพ่อ ว่างเมื่อไหร่ผมจะไป” คำตอบไม่ใส่ใจเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยัก เอาเวลาไปทำอย่างอื่นยังมีสาระมากกว่า

“แกต้องไปวันนี้ อีกสองอาทิตย์จะถึงวันงานแล้ว” ชายสูงวัยย้ำอีกครั้ง ไหนจะลูกสะใภ้ที่ท้องโตขึ้นทุกวัน

“ทราบแล้วครับ” ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางซังกะตาย เจ้าสาวแทนที่จะเป็นแฟนสาวซึ่งคบหากันมา กลับกลายเป็นอีกคนที่แสนรังเกียจ ในเมื่อเธอทำให้อนาคตของเขาต้องพัง เขาก็จะทำให้เธออยู่แบบไม่มีความสุขเช่นกัน

ธีรวัฒน์ขับรถยนต์คันหรูไปรับว่าที่เจ้าสาวถึงบ้านด้วยอารมณ์ที่ไม่ปกตินัก คอยดูฤทธิ์เดชเขาบ้างแล้วกันว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ จะทำให้เขอหย่าชนิดที่ว่าหม้อข้าวยังไม่ทันดำ

“พ่อฉันสั่งให้มารับเธอไปลองชุดแต่งงาน” น้ำเสียงที่ทักทายเต็มไปด้วยอารมณ์จนมือเล็กที่กำลังจัดแจกันดอกไม้ชะงัก นี่หรือสามีในอนาคตของเธอ ภัทรสรคิดด้วยความขมขื่น

“อะ...เอ่อ ไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ?”

“ไม่ไปตอนนี้จะไปตอนไหน อย่าเล่นตัวให้ดูดีขึ้นมาหน่อยเลย เห็นแล้วฉันรู้สึกสมเพช” เจ้าบ่าวปากร้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด กิริยาท่าทางนั่นดูน่ารำคาญแถมยังขวางหูขวางตา

“ค่ะ แนนขอไปหยิบกระเป๋าก่อนนะคะ”

ร้านพรีเวดดิ้งสถานที่สำหรับคู่บ่าว-สาวซึ่งแยกออกมาเป็นสัดส่วน ตั้งแต่การถ่ายภาพที่ใช้ในงานแต่ง และชุดของเจ้าบ่าว-เจ้าสาวทั้งแบบให้เช่าชั่วคราวและสั่งตัดตามความต้องการของผู้เป็นลูกค้า

“สวัสดีค่ะคุณวิน พาเจ้าสาวมาลองชุดแต่งงานใช่ไหมคะ?” เจ้าของร้านสาวรีบตรงเข้ามาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเอง ก่อนหน้านี้ได้รับโทรศัพท์มาว่าทั้งคู่กำลังเดินทางมา

“ค่ะ” ว่าที่เจ้าสาวเป็นฝ่ายตอบแทนเนื่องจากอีกคนเอาแต่ยืนเงียบราวกับไม่ได้พกปากมาด้วย

“เชิญด้านนี้เลยค่ะ” เจ้าตัวผายมือเชื้อเชิญให้ลูกค้าคนสำคัญเดินไปยังบริเวณห้องลองชุด ปากก็ตะโกนเรียกลูกน้องไปด้วย “ฤทธิ์”

“....”

“ฤทธิ์ นังฤทธิ์” คราวนี้เสียงเริ่มดังและเข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะออกมา

“ขา! มาแล้วค่าคุณเก็จ แหม...หนูบอกให้เรียกริชชี่ไง งอนแล้วนะเนี่ย” ฤทธิ์หรือริชชี่พนักงานชายใจหญิงประจำร้านพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ ยามถูกเรียกชื่อเก่าเก็บ

“ให้มันน้อยๆ หน่อย พาเจ้าสาวไปดูชุดเร็ว” เก็จแก้วถลึงตาดุๆ ใส่ลูกน้องที่มัวแต่ห่วงชื่อตัวเองมากกว่าลูกค้าคนสำคัญ

“อย่าดุนักสิฮะ ว่าแต่ริชชี่ก็อยากดูแลคุณเจ้าบ่าวด้วยนะฮะ” เจ้าตัวทำเสียงอ่อนเสียงหวานโดยไม่ได้มองเลยว่าเจ้าบ่าวมีสีหน้าแบบไหนในเวลานี้

“อยากโดนหักเงินเดือนบ้างไหมล่ะ”

“อุ๊ต่ะ! รีบไปด่วนๆ เลยค่า” สิ้นเสียงของนายจ้างสาว เจ้าของร่างสูงก็รีบวิ่งไปทำตามคำสั่งแบบด่วนจี๋

“ชุดนี้เหมาะกับคุณน้องมากเลยนะฮะ” เสียงใหญ่ที่พยายามดัดให้แหลมชมเปาะหลังจากว่าที่เจ้าสาวสวมชุดเสร็จเรียบร้อย

“จริงเหรอคะ แต่แนนว่ามันดูโป๊ไป” เสียงหวานบอกอย่างเอียงอาย ชุดที่เธอกำลังสวมเป็นแบบเกาะอกโชว์ไหล่กลมกลึง ปักด้วยดิ้นสีเงินและคริสตัลทั้งชุดส่งให้เรือนร่างบอบบางดูงดงามไม่ต่างไปจากเจ้าหญิงในเทพนิยาย

“ไม่โป๊หรอก เชื่อพี่สิ สมัยนี้ใครๆ ก็ใส่กัน อีกอย่างนะผิวคุณน้องก็เนียนขนาดนี้ ไม่ต้องอายเลยค่ะ” หฤทธิ์ส่งเสียงเชียร์เต็มที่

“ตกลงแนนเอาชุดนี้ก็ได้ค่ะ”

“เจ้าสาวคนสวยมาแล้วค่ะ” ชายใจหญิงเดินนำออกมา สองมือแหวกผ้าม่านออกให้ว่าที่เจ้าบ่าวได้เห็นเต็มตา ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววตื่นตะลึงไปชั่วขณะ หลงลืมไปว่ากับคำว่า ‘เกลียด’ จนแทบไม่อยากจะมองหน้า

“เจ้าสาวของคุณวินสวยมากเลยนะคะ” เก็จแก้วชมจากใจจริง ดูท่าทางแล้วจะน่ารักทั้งนิสัยและหน้าตา ผู้ชายคนนี้ตาถึงจริงๆ

พอตั้งสติได้ธีรวัฒน์ก็รีบหันมาตอบคนข้างกายด้วยน้ำเสียงห้วนๆ กลบเกลื่อนอาการบ้าๆ ที่กำลังก่อขึ้นในจิตใจ จนพานโมโหตัวเองที่ทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนให้ความสนใจ งั้นๆ แหละครับ สวยกว่านี้ผมก็เจอมาแล้ว” ทำไมต้องสนใจด้วยว่าคำพูดจะไปกระทบกระเทือนจิตใจใครเข้า ยิ่งรู้สึกได้สิ ยิ่งดี!

“เอ่อ...เดี๋ยวเรามาถ่ายรูปกันดีกว่านะคะ” บรรยากาศอันแสนตึงเครียดที่กำลังจะก่อเกิด ทำให้เจ้าของร้านสาวตัดสินใจทำลายบรรยากาศลงด้วยการพาคู่บ่าว-สาวไปยังสตูดิโอถ่ายภาพทันที

“เจ้าบ่าวกอดเอวเจ้าสาวหน่อยครับ” ช่างภาพหนุ่มจัดท่าทางให้ด้วยรอยยิ้ม แต่ละท่าล้วนมีความแนบชิดที่เจ้าบ่าวแสดงถึงความไม่เต็มใจแต่ก็จำยอมทำตามเพื่อให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงสักที

“ภาพนี้ให้เจ้าบ่าวแอบขโมยหอมแก้มนะครับ” ยังไม่ทันจะพูดจบริมฝีปากหยักก็ฉวยโอกาสกดลงไปบริเวณแก้มเนียนในขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวและคิดว่าคนอย่างเขาจะทำอะไรแบบนี้ จนก่อเกิดเป็นภาพน่ารักๆ ของว่าที่เจ้าสาวซึ่งมีสีหน้าตกใจได้อย่างลงตัวจนช่างภาพยังอดยิ้มตามไม่ได้ เรียกว่าเป็นรูปเช็ตหวานระหว่างบ่าว-สาวถูกอกถูกใจทั้งช่างภาพและเจ้าของร้านที่ตามเข้ามาคอยกำกับให้ด้วย

“ถึงวันงานหวังว่าเธอคงไม่ทำให้ฉันขายหน้าหรอกนะ” จู่ๆ คนข้างกายก็พูดขึ้นในระหว่างที่กำลังขับรถกลับ “แนนไม่ใช่คนงี่เง่าพูดไม่รู้เรื่องอยู่แล้วค่ะ” ดวงตากลมเหลือบไปมองสันกรานคมแวบหนึ่ง เป็นเขามากกว่าที่จะทำให้งานกร่อย ไม่ใช่เธอ

“ยอกย้อนนักนะ ฉันแค่ไม่อยากให้ใครมาดูถูกว่าหาเมียไม่สมกับฐานะตัวเอง” ธีรวัฒน์พูดเสียงลอดไรฟัน ขนาดตอนนี้ยังเถียงคำไม่ตกฟาก

“ค่ะ! คุณวินอยู่สูง เป็นแนนที่อาจเอื้อมไปหาเอง” เพราะถ้อยคำดังกล่าวทำให้เธอต้องประชดกลับไปบ้าง

“ปากเก่งดีจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเธอท้องล่ะก็ หางตาฉันยังไม่คิดจะแลเลย” อีกครั้งที่วาจาร้ายกาจหลุดออกมาจากปากผู้ชายที่ไม่ต่างไปจากซาตานร้าย

“ไม่ต้องแต่งก็ได้ค่ะ ถ้าคุณอยากให้แนนเอาลูกออก แนนก็จะทำ อยากให้ตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิตใช่ไหมคะว่าเป็นพ่อที่ฆ่าลูกตัวเอง” คราวนี้ภัทรสรหันไปตอกกลับชนิดที่เรียกว่า ‘เหลืออด’ เธอไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นจริงๆ แค่อยากให้เขาได้รู้สึกถึงคำว่า ‘พ่อ’ บ้าง

เอี๊ยดดด!

เสียงห้ามล้อรถยนต์ดังสนั่นส่งผลให้คนไม่ทันได้ตั้งตัวศีรษะเกือบคะมำไปยังคอนโซลด้านหน้า ดีที่ขืนตัวและคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้

“เบรกทำไมคะคุณวิน?” ภัทรสรหันไปถามคนไม่อยู่กับร่องกับรอยด้วยอาการงุนงง

“ลงไปจากรถฉัน” ชายหนุ่มไล่ดื้อๆ ไม่มีแววตาแห่งความล้อเล่น

“แนนพูดอะไรให้คุณไม่พอใจคะ?” แม้สิ่งที่พูดอาจจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ แต่เธอกลับคิดว่ามันคือความจริง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย

“ไม่ต้องถาม ฉันบอกให้ลงไป” ผู้ชายใจร้ายไล่อีกเป็นครั้งที่สอง หยาดน้ำตาทั้งสองข้างเริ่มคลอหน่วย เขากล้าไล่เธอได้ลงคอเชียวหรือ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยังไม่เย็นมากก็ตาม

คนถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยอาการที่บ่งบอกว่าเสียใจ แต่กลับไม่มีความสงสารให้กันแม้แต่นิดเดียว

“แล้วอย่าลืมกลับไปรายงานไอ้น้องชายสุดที่รักเธอด้วยล่ะว่าวันนี้ถูกฉันไล่ลงจากรถ” มือหนาเอื้อมมาบีบปลายคางมนแล้วแสยะยิ้มใส่ ไม่ลืมปลดล็อกประตูให้ว่าที่เจ้าสาวผู้น่าสงสารลงจากรถตามประกาศิตของตน

เท้าทั้งสองข้างค่อยๆ ก้าวลงจากรถตามคำสั่ง แม้จะไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ยังพยายามฝืนกายเอาไว้ ไม่อยากถูกมองด้วยสายตาสมเพชอีก ดวงตากลมมองตามรถที่เพิ่งแล่นออกไปด้วยอาการเสียใจ ถ้าแต่งงานกันไปเธอคงต้องรองรับอารมณ์ผู้ชายใจร้ายเช่นเขาทุกวัน แม้ในขณะนี้เจ้าตัวยังไม่คิดจะสนใจว่าหญิงสาวที่เพิ่งไล่ลงมาจะกลับบ้านอย่างไร

“เป็นยังไงบ้าง แกไปส่งหนูแนนที่บ้านแล้วเหรอวิน?” พอก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน คำถามจากผู้ให้กำเนิดซึ่งนั่งอยู่บริเวณโซฟาตัวใหญ่ขึ้น ท่ามกลางอาการเบื่อหน่ายบวกกับความหงุดหงิดที่ยังไม่จางหายไป

“ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นนี่ครับพ่อ พอใจหรือยังล่ะครับที่ผมทำตามความต้องการของทุกคนเรียบร้อยแล้ว”

“ไอ้วิน อย่ามาพูดแบบนี้นะ เป็นแกเองไม่ใช่เหรอที่ไปยุ่งกับหนูแนนจนตั้งท้อง พอให้รับผิดชอบดันทำท่าจะไม่ยอม แกยังมีความเป็นคนเหลืออยู่บ้างไหม” ชายสูงวัยตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เริ่มเหลืออดกับพฤติกรรมของบุตรชาย

“พ่อ”

“แกไม่ต้องมาทำเสียงแบบนี้ใส่ฉัน ถ้าแกยังทำตัวแบบเดิมอีก ได้เห็นดีกับฉันแน่” ธีรวัฒน์เดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องนอน ขัดใจที่บิดาไม่ยอมอยู่ข้างๆ ทั้งที่ตนเป็นลูก แถมยังไปชื่นชมผู้หญิงที่เขาไม่ต้องการอย่างออกนอกหน้า

“แนน คุณวินมาส่งเหรอลูก” ประกิตถามขึ้นหลังจากเห็นร่างบางเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย ดวงตาบวมเป่งเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“แนนกลับมาคนเดียวค่ะ” วงหน้าสวยก้มงุด พยายามซ่อนน้ำตาไม่ให้ท่านเห็นเพราะไม่อยากทำให้ต้องไม่สบายใจ

“พี่แนนเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ศิวะเอ่ยถามตรงๆ เมื่อเห็นอาการของผู้เป็นพี่สาว

“พ่อคะ แนนไม่อยากแต่งงานแล้วค่ะ” หญิงสาวไม่ยอมตอบคำถามน้องชาย แต่เลือกที่จะพูดกับผู้ให้กำเนิดในสิ่งที่คิดมาตลอดระหว่างทางกลับบ้าน

“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะแนน พ่อกับคุณท่านคุยกันเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างการ์ดงานแต่งก็แจกไปเกือบหมดแล้ว แนนมีอะไรในใจหรือเปล่า?” ชายสูงวัยเลิกคิ้ว จู่ๆ ลูกสาวก็อยากจะล้มเลิกงานแต่งงานทั้งที่วันนี้เพิ่งจะไปลองชุดกลับมา

“ไม่มีอะไรค่ะ แนนขอตัวก่อนนะคะ” ด้วยความกลัวว่าจะถูกบิดาและน้องชายจับได้ถึงอาการผิดปกติของตน ภัทรสรจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงขึ้นห้องนอนชั้นบนท่ามกลางสายตาของน้องชายที่มองตามไป

“เดี๋ยวผมไปดูพี่แนนเองครับ”

ผู้ให้กำเนิดพยักหน้ารับรู้ ตอนนี้แม้จะโล่งใจที่บุตรสาวพ้นข้อครหาท้องไม่มีพ่อ แต่ท่าทางและแววตาหม่นหมองก็พอเป็นคำตอบได้ว่า การแต่งงานครั้งนี้ไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ในขณะที่ตนเองก็ไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นของคนสองคนเนื่องจากเธอไม่เคยปริปากบอก แต่ที่ทำทุกอย่างลงไปก็เพื่อความถูกต้อง

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

“นพขอเข้าไปนะครับพี่แนน” ศิวะเคาะประตูพร้อมกับตะโกนเรียกพี่สาวไปด้วย

“เข้ามาสินพ พี่ไม่ได้ล็อก” เจ้าของเสียงหวานตอบน้องชายแล้วรีบยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ทิ้ง

“พี่แนนเป็นอะไรหรือเปล่าครับ มีใครว่าอะไรพี่แนน” ชายหนุ่มถามตรงๆ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาเพื่อรอคำตอบ

“ไม่มีใครว่าอะไรพี่หรอกนพ” ดวงตากลมเสมองไปทางอื่น ไม่อยากทำให้น้องชายรู้สึกไม่สบายใจ

“นพไม่เชื่อ พี่แนนมีอะไรปิดบังนพอยู่ใช่ไหม” ศิวะดักคอ ไอ้สารเลวนั่นต้องพูดจาทำร้ายจิตใจพี่สาวตนมาอีกแน่ๆ

“นพ...ฮือ....ฮือ” ภัทรสรปล่อยโฮพร้อมโผเข้าไปกอดน้องชาย อึดอัดกับเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป

“มันใช่ไหมที่ทำให้พี่แนนร้องไห้” ศิวะคำรามเสียงต่ำ ทำลายอนาคตพี่สาวเขาไม่พอ มันยังกล้าทำร้ายจิตใจได้ลงคอ

“พี่ผิดเองนพที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขา”

“พี่แนนไม่ผิด มันต่างหากต้องรับผิดชอบ นพจะไปจัดการเอง” ชายหนุ่มลุกขึ้นทันที ตั้งใจไปเอาเรื่องกับไอ้คนที่มันทำให้พี่สาวตนเสียน้ำตา กี่ครั้งแล้วที่ต้องทนเห็นอีกฝ่ายร้องไห้เพราะมีไอ้สารเลวนั่นเป็นต้นเหตุ

“อย่านะนพ เห็นแก่พี่ พี่ขอร้อง” มือเล็กเอื้อมมาดึงท่อนแขนกำยำของน้องชายไว้ ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้

“นี่พี่แนนรักมันมากขนาดนี้เลยเหรอครับ” ยิ่งได้ยินแบบนี้ ศิวะก็รู้สึกอยากจะลากคอว่าที่พี่เขยมาให้ได้ยินไปด้วยกันว่าผู้หญิงตรงหน้ารักและเทิดทูนมันมากขนาดไหน

“ไม่ใช่นะนพ พี่ไม่อยากให้นพมีเรื่อง เชื่อพี่นะ” แม้คำพูดของน้องชายนั้นจะถูกต้องทุกอย่าง ทั้งที่ถูกกระทำและพูดจาทำร้ายจิตใจสารพัด เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังแคร์พ่อของลูกมากมายขนาดนี้ เธอคงจะเป็นผู้หญิงโง่แบบที่เขาประณามจริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel