บท
ตั้งค่า

บทที่2.จบตอน

คุณประเสริฐนั่งมองร่างแบบบางที่หลับพริ้มอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเรียวรูปไข่นั้นสวยนวลเนียนไร้ที่ติ คิ้วเรียวราววาดด้วยพู่กันของจิตกรเอก ดวงตากลมโตที่เขาเคยได้เห็นนั้นดำสนิทเงาระยับประดับด้วยแพขนตางามงอนอ่อนช้อย หากแต่ดวงตางดงามนั้นแฝงไว้ด้วยความหม่นเศร้าไม่สมวัยสาวสดใสนั้นหลับพริ้ม จมูกเล็กๆ โด่งเป็นสันได้รูปงดงาม รับกับริมฝีปากรูปกระจับอิ่มระเรื่อแม้จะดูแห้งผาก เธอน่าสงสารและไร้ที่พึ่งพิงในยามนี้ ซ้ำยังต้องมารับเคราะห์แทนคนไร้สำนึกอย่างสองแม่ลูกนั่นอีก นั่นคือสิ่งที่คุณประเสริฐรับรู้และไม่คิดว่าทายาทของอรุณวลัยจะต้องทนอยู่เป็นผู้อาศัยในชายคาบ้านของตนเองมานานว่าสิบปี ซ้ำยังทนให้ผู้หญิงจิตใจหยาบกระด้างอย่างคุณพริ้งโขลกสับราวทาส รวมถึงเรื่องที่เธอเกือบถูกอานนท์ข่มเหงด้วย หนุ่มใหญ่ได้แต่ถอนหายใจอย่างนึกเวทนา แล้วพลันนึกถึงเรื่องที่เขาคุยกับนายหนุ่มเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“ผมไม่เห็นว่าผมจะต้องสงสารเห็นใจคนพวกนั้น”

“คุณคริสครับ อย่าหาว่าผมก้าวก่ายเลยนะครับ แต่คุณหนูน้องมดเธอน่าสงสารจริงๆ”

คุณประเสริฐพยายามอย่างที่สุดที่จะเปลี่ยนใจชายหนุ่มให้ยอมรับรติมาแทนพริมรตาซึ่งหายหน้าหนีความรับผิดชอบไป

“มันเป็นเรื่องของคนพวกนั้นที่จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว คุณจะเดือดร้อนแทนเขาทำไม”

“ผมไม่ได้เดือดร้อนแทนคุณพริ้งหรือคุณพริมรตาหรอกครับ แต่ผมสงสารคุณหนูน้องมด...”

แล้วคุณประเสริฐก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวของรติมาให้ชาคริตฟังอย่างละเอียด และขอร้องให้ชาคริตให้รติมาอยู่ที่นี่แทน พริมราตา โดยสัญญาจะจัดการเรื่องของสองแม่ลูกนั่นเอง และทำให้บริษัทและบ้านหลังนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของชาคริตโดยเร็ว

“หากคุณสัญญาว่าจะทำตามที่พูด ผมก็จะลองพิจารณาดูก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็อยู่กับคนของคุณประเสริฐเองหรอกนะว่าทนอยู่ได้นานแค่ไหน และผมไม่รับรองด้วยว่าเธอจะต้องเจอกับอะไรบ้าง”

“ครับ ผมขอแค่นี้ หวังว่าคุณคริสจะเมตตาเธอบ้าง...”

“ผมมีเมตตากับทุกคนอยู่แล้ว คุณก็รู้..”

ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเย็นชาแล้วหันหลังให้คุณประเสริฐเป็นการตัดบท อย่างที่เขามักจะทำเสมอหากไม่ต้องการพูดอะไรต่อมันอาจจะดูเป็นการเสียมารยาท แต่คุณประเสริฐก็เข้าใจดี อย่างน้อยๆ ตอนนี้ ชายหนุ่มก็คงลดความเคร่งเครียดเจ็บปวดลงบ้างแล้ว..

“ขอบคุณนะคะคุณประเสริฐ”

เสียงแม่จิตเอ่ยเบาๆ ทำให้คุณประเสริฐหันไปมองหญิงสูงวัยที่กำลังลูบเรือนผมสวยนั้นอย่างรักใคร่

“ไม่เป็นไรครับ ผมช่วยเท่าที่ทำได้ แต่ความจริงแล้ว ผมเองก็ไม่อยากให้คุณหนูอยู่รับเคราะห์แทนคนอื่นหรอกครับ แต่คิดๆ ดูแล้วหากจะปล่อยให้เธอออกไปเผชิญชะตากรรมข้างนอกก็อดคิดไม่ได้ว่าเธออาจจะเจอคนที่ไม่ดีรังแก”

“แต่อยู่ที่นี่ก็คงจะเลวร้ายไม่แพ้กัน...”

“ก็คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จริงๆ แล้วคุณคริสเธอจิตใจดี มีน้ำใจกับทุกๆ คน แต่ครึ่งปีหลังที่ผ่านมา เธอกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์นั่นก็เพราะเธอประสบอุบัติเหตุ... ตอนนั้นรถยนต์ของคุณคริสถูกคุณพริมรตาชนจนไถลลงไปในหุบเหวข้างทาง แต่โชคดีที่รถนั้นไม่ตกลงไปในเหว เพราะต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนาแน่นเป็นเสมือนกำแพงกั้นไม่ให้รถตกลงไปแม้ไม่ลึกมาก แต่หากรถตกลงไปก็นับว่ารอดยาก เมื่อคุณคริสถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ก็พบว่าศีรษะคุณคริสได้รับการกระทบอย่างรุนแรง และประสาทด้านการมองเห็นก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งหมอเองก็บอกว่าคุณคริสจะสามารถมองเห็นได้อีกครั้งอย่างแน่นอน... ซึ่งเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดนี้มันก็จากผลของการเมาแล้วขับของคุณพริมรตานั่นล่ะครับ”

คุณประเสริฐเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชาคริตให้แม่จิตรับรู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงเป็นเช่นนี้ และแม่จิตเองก็ได้แต่ทอดถอนใจ

“ถือเสียว่ามันเป็นกรรมของคุณหนูของแม่จิตสินะ โถ แม่คุณ...”

“ไม่แน่ หากคุณคริสได้รับการดูแลที่ดีจากคุณหนูของแม่จิตก็อาจจะกลับมาเป็นคนเดิมก็ได้ และผมเชื่อว่าคุณหนูน้องมดน่าจะทำให้คุณคริสเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราก็ได้แต่หวังเช่นนั้น เราทุกคนอยากเห็นเธอมีความสุข ไม่ต้องทนอยู่ในโลกมืดอย่างเจ็บปวดเดียวดายเช่นที่เป็นอยู่”

“แต่คุณคริสของคุณประเสริฐก็ร้ายกาจนัก เท่าที่แม่จิตได้ยินมาเขาอารมณ์ร้ายมากไม่ใช่เหรอคะ” แม่จิตยังกังขา

“นั่นก็เพราะคนพวกนั้นชอบทำให้คุณคริสเหมือนคนพิการ และมันก็ทำให้เธอไม่พอใจ ผมอยู่กับคุณคริสมานาน รู้ว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร และการที่คนดีๆ คนหนึ่งกลับต้องมาตกอยู่ในโลกมืด สิ่งเดียวที่จะทำให้เขาอยากจะอยู่บนโลกนี้ก็คือความรักและเอาใจใส่ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์...”

คุณประเสริฐกล่าวด้วยแววตาที่หมองหม่นซึ่งแม่จิตเองก็เข้าใจดี คุณประเสริฐเองก็คงรักชาคริต ชายหนุ่มผู้เป็นนายเหมือนที่นางรักคุณหนูของนางเช่นกัน

“คุณคริสนั้นเปรียบเหมือนลูกชายของผม เธอกำพร้าพ่อแม่ตอนที่กำลังก้าวสู่วัยรุ่น ตอนนั้นเธอเพิ่งจะเรียนชั้น ม.ปลาย เท่านั้น ในขณะที่กิจการของพ่อแม่กำลังจะรุ่งเรือง เธอเองก็ต้องประคับประคองมันให้อยู่รอดปลอดภัย เพราะมีอีกหลายๆ ชีวิตที่ฝากไว้ในมือ เด็กหนุ่มซึ่งกำลังอยู่ในวัยเรียนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองทั้งหมดเพื่อครอบครัว มันเป็นภาระที่หนักหนาเอาการอยู่ เธอฝ่าฟันอะไรๆ มาเยอะ จนบางทีเธอก็ดูกร้าวแข็งเย็นชา แต่ลึกๆ แล้วเธอเป็นคนจิตใจอ่อนโยนและรักงานศิลปะมาก คุณคริสกับน้องสาวเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านศิลปะ”

คุณประเสริฐเล่าเรื่อยๆ และแม่จิตก็ฟังอย่างตั้งใจ

“ค่ะ อุ้ย คุณหนูของแม่จิตรู้สึกตัวแล้ว”

แม่จิตอุทานออกมาเมื่อร่างบางเริ่มขยับตัว แพขนตางามงอนกะพริบปริบๆ อยู่สองสามครั้งก่อนดวงตากลมโตจะลืมเต็มตาพร้อมกับยันกายลุกขึ้นนั่งด้วยความช่วยเหลือจากผู้สูงวัยทั้งสอง

“แม่จิตคะ เราอยู่ที่ไหนคะ” รติมาถามอย่างยังรู้สึกมึนงงอยู่เล็กน้อย

“เราอยู่ที่บ้านหลังเดิมล่ะค่ะ”

“อะไรนะคะ...แล้ว...” รติมาอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ใบหน้านวลยังคงไร้สีสัน

“คุณคริสตกลงให้คุณหนูน้องมดอยู่ที่นี่คอยรับใช้เธอแทนคุณพริมรตาครับ ส่วนแม่จิตก็ให้อยู่ด้วย แต่ให้อยู่ช่วยงานในครัวเล็กๆ น้อยๆ แต่คุณคริสก็จะจ่ายค่าจ้างให้เหมือนกับคนอื่นๆ แต่คุณหนูน้องมดจะต้องเซ็นชื่อในเอกสารสัญญาฉบับนี้ก่อนนะครับ แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาฉบับนี้ อ่านดูก่อนนะครับแต่ทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่การตัดสินใจของคุณหนูเอง”

กล่าวจบคุณประเสริฐก็เดินออกไปเงียบๆ รติมามองซองสีน้ำตาลในมือที่คุณประเสริฐยื่นให้เมื่อครู่ แล้วอ่านอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าหวานดูยุ่งยากเล็กน้อย

“คุณหนูไม่จำเป็นต้องทำก็ได้นะคะ” แม่จิตกล่าวเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของเธอ

“แต่ว่า...”

“คุณหนูคะ เรายังมีที่ไปนะคะ แต่ช่างเถอะค่ะ ไม่ว่าจะอย่างไรแม่จิตก็ยอมรับการตัดสินใจของคุณหนูอยู่ดี”

แม่จิตเอ่ยออกมาเบาๆ กุมมือบางแน่น เหมือนจะถ่ายทอดกำลังใจ หากแต่ลึกๆ แล้ว นางอยากให้รติมาปฏิเสธข้อตกลงในสัญญาฉบับนี้มากกว่า แม้นางจะไม่รู้ว่าในนั้นเขียนว่าอย่างไร แต่นางก็คิดว่าคุณหนูของนางต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel