บทที่ 4
เอกพลยืดตัวเต็มความสูง หมุนตัวหันไปมองทางด้านหลังซึ่งเป็นห้องน้ำ ยิ้มอย่างพอใจที่พบเจ้าของร่างเล็กยืนอยู่ตรงนั้น แต่กว่าสมองจะประมวลความหมายของสิ่งที่อยู่ในมือของเธอว่ามันคือไม้เบสบอล มันก็ลอยหวือเข้ามาปะทะที่ศีรษะของเขาเต็มแรงจนสลบเหมือดลงทันที
“นึกแล้วเชียวว่าต้องคิดชั่วไม่เลิก ฝันไปเถอะว่าจะได้เห็นขาอ่อนคนอย่างฉัน!” นัทชาเบ้ปากใส่ ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงเพื่อต่อสายไปหาบิดา
คราวนี้เอกพลจะต้องดิ้นไม่หลุดแน่ ถ้าพ่อของเธอรู้ว่าลูกชายของกานดาคิดไม่ซื่ออย่างนี้ ท่านจะต้องตัดสินใจเรื่องที่จะจับเธอคลุมถุงชนใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน
เมื่อภานุเดชได้ยินจากลูกสาวว่าเอกพลบุกขึ้นห้องไปหวังจะข่มขืนก็รีบขอตัวกลับจากงาน มุ่งหน้าสู่บ้านแสนคำภาด้วยความร้อนใจทันที ตลอดทางที่นั่งเคียงกันมา กานดาก็พยายามเป่าหูตลอดว่านัทชาคงแค่เรียกร้องความสนใจเท่านั้น คนอย่างเอกพลเป็นสุภาพบุรุษและไม่เคยคิดหักหาญน้ำใจผู้หญิง แต่ในใจแอบนึกตำหนิลูกชายตัวดีอยู่เหมือนกันที่ทำอะไรไม่รอบคอบ จนเรื่องเข้าหูภานุเดชเอาอย่างนี้
นายตำรวจใหญ่รีบขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของลูกสาว พบนัทชายืนกอดอกอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้โผเข้ากอดพ่อด้วยความขวัญเสียอย่างที่ภานุเดชจินตนาการไว้ ถัดไปมีสาวใช้สองคนยืนอยู่ สายตากำลังมองผ่านประตูเข้าไปภายในห้อง เมื่อเห็นประมุขของบ้านกลับมาแล้ว ทั้งสองจึงถอยหนีไปยืนอยู่ห่างๆ
“เอกพล!” ภานุเดชมีสีหน้าตกใจ เมื่อพบร่างของเอกพลนอนนิ่งอยู่บนพื้น
“ว้าย! ตายแล้วตาเอก!” กานดาปรี่เข้าไปหาบุตรชาย ตบแก้มแรงๆ หวังจะปลุกให้ได้สติ
“ยังไม่ตายหรอกค่ะ ก็แค่สลบไป” นัทชาเอ่ยแทรก ดวงตาทอประกายสะใจ “น่านกำลังจะเข้านอนค่ะ แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนไขประตูเข้ามา พอเปิดประตูเข้ามาข้างในได้ มันก็กระโจนมากอดจูบน่าน พยายามจะปล้ำน่าน น่านตกใจก็เลยใช้ไม้เบสบอลตีหัวเอาเต็มๆ พอเปิดไฟดูถึงรู้ว่าเป็นพี่เอกค่ะ” เธอเล่าให้ฟัง ไม่ลืมตีไข่ใส่สีด้วยเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเข้มข้นของเรื่องราว
“ไม่จริง! ตาเอกไม่ใช่คนแบบนั้น” กานดาเถียงพร้อมหันมาจ้องนัทชาตาขวาง จากนั้นก็มองไปหาสามีที่ยืนตระหง่านอยู่ไม่ไกล
“อย่าไปเชื่อนะคะคุณพี่ ยัยน่านแค่ไม่อยากแต่งงานก็เลยใส่ร้ายตาเอก คุณพี่ก็น่าจะพอรู้นิสัยลูกสาวตัวเองอยู่นี่คะ” เจ้าหล่อนอธิบาย และไม่ค่อยสบายใจนักที่เห็นสายตาคลางแคลงใจของสามี
“อูย...” เสียงครางผะแผ่วของคนที่นอนอยู่บนพื้น เรียกทุกสายตาให้จ้องมองไปเป็นจุดเดียวกัน
“ตาเอก! เป็นยังไงบ้าง” กานดาช่วยประคองลูกชายให้ลุกขึ้นนั่ง
“ผม...” เอกพลมองไปรอบๆ ห้อง รู้ดีแก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่ยังอ้ำอึ้งเพราะคิดอยู่ว่าควรพูดอย่างไรดีเพื่อให้ตัวเองไม่ใช่ฝ่ายผิด ดูจากสีหน้าของภานุเดช เขาก็พอเดาได้ว่ากำลังถูกเพ่งเล็งเต็มที่
“น้องน่าน ทำไมน้องน่านถึงทำกับพี่แบบนี้ล่ะคะ” คนสมองไวในทางร้ายหันไปมองนัทชาด้วยสายตาผิดหวังเสียใจ สมบทบาทจนเธอนึกอยากปราดเข้าไปทิ่มลูกตาให้บอดนัก
“ก็สมควรแล้วนี่! คุณคิดจะปล้ำฉัน ฉันก็ถวายไม้เบสบอลให้ไปเต็มรัก อยากได้อีกสักดอกไหมล่ะ” หญิงสาวทำท่าจะเหวี่ยงไม้เบสบอลเข้าใส่อีกรอบ แต่บิดาคว้าตัวเอาไว้ได้ทันเสียก่อน
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ!”
“ปล่อยน่านนะคะคุณพ่อ! ไอ้หมอนี่มันคิดจะปล้ำน่านมานานแล้ว วันนี้ขอฟาดให้หัวแบะสักหน่อยเถอะ!” ร่างบางดิ้นขลุกขลัก ตะโกนใส่คนที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างฉุนเฉียว ความจริงแล้วนัทชาเป็นคนใจเย็นกว่านี้ แต่หลังจากถูกทำร้ายจิตใจต่างๆ นานา เธอก็คิดได้เสียทีว่าไม่ควรโอนอ่อนผ่อนตามให้พวกคนเลวอีกต่อไป
“หยุดนะยัยน่าน!” ภานุเดชตำหนิแล้วดึงแขนลูกสาวไว้แน่นขึ้น
“อย่าไปเชื่อที่น้องน่านพูดนะครับคุณพ่อ นั่นไม่ใช่ความจริงเลย” เอกพลอาศัยจังหวะนั้นแก้ต่างให้ตัวเอง “ผมขึ้นมาข้างบนเพราะได้ยินเสียงน้องน่านร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอเปิดประตูเข้ามา น้องน่านก็ใช้ไม้ตีหัวผม ถ้าการต้องแต่งงานกับผมมันทำให้น้องน่านต้องกลายเป็นคนเจ้าแผนการขนาดนี้ ผมว่าคุณพ่ออย่าบังคับน้องเลยนะครับ”
“คุณนั่นแหละที่โกหก! ฉันไม่เคยวางแผนอะไรทั้งนั้น มีแต่คุณกับแม่นั่นแหละที่...”
เผียะ!
