บทที่ 2
“ไปเก็บของแล้วเราไปจากที่นี่กัน”
“ค่ะ” ดอกแก้วรับคำจากนั้นก็เดินกลับไปยังบ้านเพื่อเก็บของใช้ส่วนตัว แต่พอไปถึงเสื้อผ้า หนังสือเรียนและทุกอย่างกลับถูกโยนออกมากองไว้อยู่หน้าประตู ดอกแก้วสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วก้มลงไปคว้ากระเป๋าเป้มาเปิดออกจากนั้นก็จับทุกอย่างยัดลงไปลวกๆ โดยมีดุจดาวยืนกอดอกมองอยู่ไม่ไกล
ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครรั้งเพื่อให้ดอกแก้วอยู่ที่นี่ต่อหรือต่อให้มีจริงๆ เธอก็ไม่คิดจะอยู่ ตั้งแต่พ่อเสียที่นี่ก็เหมือนนรกบนดินสำหรับเธอไม่มีผิด ต่อให้ตายเธอก็จะไปตายที่อื่นและจะไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต
“คุณจะพาหนูไปไหนคะ” เมื่อนั่งรถมาได้นานสมสมควร ดอกแก้วก็เอ่ยถามขึ้น
“กรุงเทพฯ”
“กรุงเทพฯ” สีหน้าของดอกแก้วดูตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเจตน์จะพาเธอไปที่ไหนก่อนที่สีหน้าแบบนั้นจะหายไป เพราะไปที่ไหนมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรทั้งนั้น
“ใช่”
“คุณคงไม่พาหนูไปขายซ่องที่กรุงเทพฯ ใช่ไหม” คำถามตรงไปตรงมาของดอกแก้วทำให้เจตน์ที่กำลังขับรถถึงกับหันขวับมามอง
“หน้าตาฉันดูเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ หนูแค่…”
“หรือว่าเธอไม่ไว้ใจฉัน”
“เอ่อ”
“ถ้าไม่ไว้ใจแล้วทำไมถึงยอมให้ฉันรังแกเธอ” เจอประโยคนี้เข้าไปดอกแก้วถึงกับใจเต้นรัว
“ก็ตอนนั้นคุณเมาแล้วหนูก็สู้แรงคุณไม่ได้” ยิ่ง ดอกแก้วรีบตอบคำถามเท่าไหร่ในสายตาของเจตน์เธอก็ยิ่งดูมีพิรุธ
“อย่างนั้นเหรอ เราอาจยังไม่รู้จักกันมากพอและฉันก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ฉันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายถึงขนาดจะพาเธอไปขายที่ซ่องหรือปล่อยให้เธอเผชิญกับทุกอย่างเพียงคนเดียว ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราเป็นผัวเมียกัน” ประโยคหลังของเจตน์ทำเอาใบหน้าคนฟังเห่อร้อน เพราะไม่ชินเมื่อต้องได้ยินคำว่าผัวๆ เมียๆ
“ไม่ลืมค่ะ”
“เธอเคยไปกรุงเทพฯ ไหม”
“เคยค่ะ พ่อเคยพาหนูไปเที่ยวตอนปิดเทอม” แม้เหตุการณ์จะผ่านมานานมากแล้วแต่ดอกแก้วก็ยังจำความรู้สึกครั้งนั้นได้ดี การได้ขึ้นรถไฟฟ้าครั้งแรกรวมถึงการได้เห็นตึกสูงและได้เดินเล่นในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ มันตื่นเต้นมาก
“พ่อเธอเสียไปนานแล้วหรือยัง”
“ครึ่งปีแล้วค่ะ”
“ฉันเสียใจด้วย”
“ขอบคุณค่ะ”
“ถ้าให้เดาเธอคงกำลังเรียนอยู่” เพราะอยากรู้เรื่องส่วนตัวของเธอทำให้เจตน์เริ่มตั้งคำถามซึ่งดอกแก้วก็ไม่บ่ายเบี่ยงที่จะตอบเรื่องเหล่านั้น
“ค่ะ หนูเรียนอยู่”
“ปีไหนแล้ว”
“ปีสาม”
“เรียนที่ไหน” เจตน์ถามอย่างเป็นกังวลเพราะกลัวการไปกรุงเทพฯ ครั้งนี้อาจกระทบต่อเรื่องเรียนของ ดอกแก้ว
“มหาลัย…ค่ะ”
“อ้อ” มหาวิทยาลัยที่ดอกแก้วเอ่ยชื่อมานั้นคือมหาวิทยาลัยที่สามารถเรียนแบบออนไลน์ได้ไม่ว่าอยู่ที่นี่ก็ตาม ซึ่งมันเหมาะกับผู้เรียนที่ไม่สามารถเดินทางไปเรียนถึงมหาวิทยาลัยได้ แต่ผู้เรียนก็ต้องมีวินัยเป็นอย่างมากเช่นกัน
“ทำไมถึงเรียนที่นั่น” แม้จะพอรู้คำตอบแต่เจตน์ก็ถามขึ้น
“หนูไม่สะดวกไปเรียนเองที่มหาวิทยาลัยค่ะ” ถ้าให้พูดถึงเหตุผลที่ทำให้ดอกแก้วไม่สะดวกไปเรียนที่มหาวิทยาลัยคงต้องพูดกันจนคอแห้งเพราะมันมีหลายอย่างเหลือเกิน ซึ่งคนหนึ่งในเหตุผลสำหคัญคือแม่เลี้ยงอย่างสารภี
“แล้วไม่ถามเรื่องฉันบ้างเหรอ”
“หนูไม่มีอะไรจะถามนี่คะ”
“งั้นฉันจะบอกเอง เธอนั่งฟังก็พอ” เจตน์เริ่มบอกเรื่องส่วนตัวให้ดอกแก้วฟัง ทั้งเรื่องอายุ เรื่องพ่อแม่พี่น้อง เรื่องเรียนว่าเขานั้นจบมาจากที่ไหนและที่ลืมไม่ได้คือเรื่องความรักที่เขานั้นโสดสนิทมาได้สองสามปีแล้ว ก่อนที่จู่ๆ ก็มีเมียแบบไม่ทันตั้งตัว
“ถ้าคุณไม่เต็มใจจะพาหนูไปด้วย คุณปล่อยหนูไว้ตรงนี้ก็ได้”
“แล้วหลังจากนี้เธอจะทำอะไร”
“หนูจะไปหาเพื่อนค่ะ จะไปขออยู่ด้วยสักพัก” เพื่อนที่ว่าของดอกแก้วคือเพื่อนที่เธออุปโลกน์ขึ้นมาเอง เพราะต่อให้จะมีเพื่อนแต่ก็ไม่ไม่ได้สนิทถึงขนาดกล้าไปขอความช่วยเหลือแบบนั้นแน่นอน
“ฟังแบบนี้แล้วผัวอย่างฉันก็ได้แต่น้อยใจที่เมียเห็นเพื่อนดีกว่า”
“ก็คุณ”
“แล้วเธอจะรู้ว่ามีผัวแบบฉันดีกว่ามีเพื่อนเป็นไหนๆ” แม้จะอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดกับอนาคตของตัวเอง แต่คำพูดของเจตน์กลับทำให้ดอกแก้วเขินอายจนต้องหลบสายตาของอีกฝ่ายที่ต่อให้ยังขับรถก็มักจะมองมาที่เธอเสมอ
เจตน์ขับรถมาอีกพักใหญ่ก็แวะปั๊มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมัน จากนั้นก็เข้าห้องน้ำแล้วพาดอกแก้วไปหาอะไรกินแต่เธอก็กินเพียงแค่สองสามคำก่อนจะบอกว่าอิ่มแล้ว เขาจึงซื้อขนมและน้ำจากร้านสะดวกซื้อให้เธอไว้เป็นเสบียงระหว่างทางอีกถุงใหญ่เพราะจากน่านไปกรุงเทพฯ นั้น ใช้เวลาหลายชั่วโมงไม่น้อย ส่วนเขาได้กาแฟดำรสเข้ม
แต่จู่ๆ ฝนก็ตกหนักราวกับฟ้ารั่วทำให้วิสัยทัศน์บนท้องถนนเป็นศูนย์ เจตน์จึงตัดสินใจว่าอาจต้องพักค้างคืนกันที่พิษณุโลกก่อน แต่จังหวะไม่ดีเพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวห้องพักจึงค่อนข้างหายาก กว่าที่พวกเขาจะมีที่พักก็ไล่ถามหลายที่ไม่น้อย
ดอกแก้วยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่ภายในห้องนอนที่มีเตียงขนาดหกฟุตซึ่งวางอยู่ตรงกลางห้อง ในขณะที่เจตน์ก็ยังคงคอยสังเกตท่าทางของเธออยู่ตลอดเวลารวมถึงเขาก็ยังคงตั้งคำถามกับเหตุการณ์เมื่อคืนว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อดอกแก้วบอกเองว่าเขานั้นเมามาก ถ้าเมามากจริงๆ น้องชายเขาจะตื่นตัวจนมีอะไรกับเธอได้ยังไง ทางเดียวที่จะได้คำตอบคือต้องถามกับพยานเพียงแค่คนเดียวในคืนนั้นให้รู้ชัด
“อาบน้ำก่อนไหม”
“เอ” ประโยคที่ได้ยินทำให้ดอกแก้วที่ยืนคิดอะไรอยู่
เงียบๆ ถึงกับสะดุ้ง
“ตกใจอะไร แค่ชวนอาบน้ำ” คำพูดที่อาจธรรมดาของเจตน์แต่มันกลับทำให้หัวใจสาวน้อยที่ไม่ประสาเรื่องความรักเต้นรัว
“เปล่าค่ะ”
“จะอาบด้วยกันหรือแยกกันอาบ”
“แยกกันอาบค่ะ เชิญคุณอาบก่อนได้เลย”
“โอเค” เจตน์รับคำแล้วจัดการเปิดกระเป๋าเป้ออก จากนั้นก็คว้าเสื้อผ้าที่จะใส่คืนนี้ติดมือมาแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ
ทันที
ในขณะที่ดอกแก้วเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอดูกระวนกระวายอยากเห็นได้ชัดและพยายามคิดหาทางออกว่าคืนนี้เธอจะเอาตัวรอดจากเจตน์ได้ยังไง ส่วนเจตน์กลับอาบน้ำอย่างอารมณ์ดีเพราะชายหนุ่มผิวปากฮัมเพลงไปด้วยและก่อนที่ดอกแก้วจะคิดหาทางเอาตัวรอดออก ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกโดยขณะนั้นเจตน์นุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวออกมา
