บทที่3:บ่ายวันสบาย… ก่อนพายุจะมาเยือน
บ่ายวันสบาย… ก่อนพายุจะมาเยือน
หลังอาหารเที่ยง อากาศในเมืองหลวงยังร้อนอบอ้าว แต่ในหัวใจของสองสาวกลับเต็มไปด้วยความเบิกบาน
นิรินทร์ขับรถไปส่งดาวิกาที่บ้าน ก่อนจะชวนอันนาออกไปเดินช้อปปิ้งฆ่าเวลาในห้างดังกลางเมือง
เสียงหัวเราะสดใสของพวกเธอดังสลับกับเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นกระเบื้อง
มือถือในมือไม่ว่างเว้นจากการถ่ายรูปและเช็กอินทุกมุม
ช่วงบ่าย พวกเธอนั่งพักในร้านไอศกรีม เคลือบรอยยิ้มหวานไว้ที่ริมฝีปาก
แต่พอเย็น ขาก็เริ่มล้า…
“นา…ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
นิรินทร์บ่น ขณะนั่งลงหน้าร้านรองเท้า
“ไปสิ แกอยากกินอะไรล่ะ?”
อันนานวดน่องเบา ๆ อย่างคนหมดแรง
“ฝั่งโน้นมีร้านสเต๊ก...ข้ามถนนไปกัน”
“โอเค!” คนรักเนื้ออย่างอันนายิ้มทันที
พวกเธอจูงมือกันข้ามถนน ทางม้าลายทอดยาว ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสง
ลมเย็นพัดผ่านใบหน้า อากาศเย็นลงจนน่าหลงใหล
...ชั่วขณะหนึ่ง โลกดูจะใจดีกับเธอทั้งคู่
...จนกระทั่ง
เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์คำรามแหลมดังขึ้นอย่างผิดปกติ
แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นในพริบตา
“นิรินทร์!!”
เสียงกรีดร้องของอันนาแทบฉีกหัวใจ
รถมอเตอร์ไซค์พุ่งฝ่าไฟแดงเข้ามาเต็มแรง เฉี่ยวร่างเพื่อนรักจนหมุนกลางอากาศ ก่อนจะล้มกระแทกขอบฟุตบาท
เสียง “โครม!” ดังลั่น ราวกับเวลาหยุดหมุน
เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักจากขมับของนิรินทร์ เปรอะเสื้อผ้าสีอ่อนของเธอจนดูน่าสะเทือนใจ
อันนาเข่าทรุดข้างร่างนิ่งของเพื่อน น้ำตาไหลพราก ขณะที่มือเธอสั่นระริก
“ช่วยด้วยค่ะ! มีคนถูกรถชน!” เสียงเธอแตกพร่าจากแรงสะเทือนในอก
ฝูงชนเริ่มมุงเข้ามา แต่ไม่มีใครกล้าแตะตัว จนกระทั่งเสียงหนึ่งแผ่วต่ำ ทุ้มชัด สั่งการ
“ขอทางด้วยครับ อย่าเบียด เดี๋ยวคนเจ็บหายใจไม่ออก!”
เสียงนั้นดึงทุกสายตาให้หันไปยังชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตแขนพับ กางเกงสแล็กเรียบเนี้ยบ
เขาแหวกฝูงชนเข้ามาอย่างสงบ ใบหน้าสงบนิ่งแต่แววตาเฉียบคม
เขาทรุดตัวลงข้างคนเจ็บ ใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดกดลงบนแผลศีรษะของนิรินทร์
“ช่วยกดตรงนี้ไว้ก่อนครับ” เขาสั่งอันนา
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ โทรเรียกรถพยาบาล น้ำเสียงราบเรียบแต่ทรงพลัง
ไม่ถึงห้านาที เสียงไซเรนดังใกล้เข้ามา
“คุณขับรถมาใช่ไหม?” เขาหันถามอันนา
“ค่ะ!”
“ตามไปที่โรงพยาบาล โทรหาญาติด้วยครับ”
เขาขึ้นรถพยาบาลไปพร้อมคนเจ็บ ปล่อยให้อันนาใจเต้นระรัว...ทั้งจากความตกใจ และบางอย่างที่ยังอธิบายไม่ได้
โรงพยาบาล – ห้องฉุกเฉิน
อันนาเดินวนหน้าห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
กระทั่งประตูเปิดออก และชายคนนั้นปรากฏตัว...คราวนี้ในชุดกาวน์ทับเสื้อเชิ้ตเปื้อนเลือด
“คุณเป็นหมอ?” เธอถาม ทั้งที่คำตอบอยู่ตรงหน้า
“ครับ” เขาพยักหน้า ยิ้มบาง ๆ
“เพื่อนฉันล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง?”
“หัวแตก เย็บสิบห้าเข็ม แขนร้าว ไม่มีเลือดออกในสมอง แต่ต้องเฝ้าดูอาการใกล้ชิดครับ”
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงฝีเท้าหนักเร่งรีบดังขึ้น
“นิรินทร์เป็นยังไงบ้างครับ?”
ชายวัยกลางคนในชุดสูทก้าวเข้ามา ใบหน้าเครียดจัด เหงื่อเกาะเต็มหน้าผาก
พิพัฒน์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน
“ปลอดภัยครับ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ต้องนอนพักสังเกตอาการสองสามวัน”
หมอหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ น้ำเสียงแฝงความอ่อนโยน
พิพัฒน์ถอนหายใจยาว ราวกับกลั้นลมหายใจมานาน มือปาดเหงื่อเบา ๆ
“ขอบคุณครับหมอ...”
หมอหนุ่มเพียงพยักหน้า แล้วหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่
เตียงขาวสะอาดถูกเข็นออกมา ใบหน้านิรินทร์ซีดเซียว หัวพันผ้าก๊อซแน่น แขนซ้ายเข้าเฝือก
พิพัฒน์ก้าวเข้าไปนั่งข้างเตียง จับมือเย็นเฉียบของลูกสาวไว้แน่น
“พ่ออยู่นี่แล้วนะลูก...”
คำพูดแผ่วเบานั้นอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
...จนทำให้บรรยากาศในห้องฉุกเฉินเย็นลงเหมือนมีคนโอบ
ห้องพักผู้ป่วย – ยามค่ำ
แสงไฟสีอุ่นบนเพดานตกกระทบบรรยากาศอ่อนโยน
อันนานั่งปอกแอปเปิลเงียบ ๆ มองเพื่อนรักที่ยังนอนนิ่ง
“เจ็บไหมลูก?” เสียงของพ่อแผ่วเบา
“ยังไหวค่ะ...” นิรินทร์ลืมตาตอบเบา ๆ ยิ้มจาง
“กินผลไม้ก่อน เดี๋ยวท้องจะว่างเกินไป” อันนายื่นจานให้
“ขอบใจนะนา...ถ้าไม่มีแก ฉันคงแย่”
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ฉันต่างหากที่ควรห้ามแกไว้”
อันนาก้มหน้า น้ำเสียงสั่น
“อย่าโทษตัวเองเลย มันคืออุบัติเหตุ” พิพัฒน์พูดเสียงนุ่ม
ทันใดนั้น...ท้องของนิรินทร์ร้องเบา ๆ
“หิวจังเลยค่ะ...”
เสียงหัวเราะของพ่อดังในลำคอ ก่อนจะกดเรียกพยาบาล
มื้อเย็นเป็นข้าวต้มจืดและผลไม้เธอทานไปได้แค่สองสามคำก็ทำหน้ายู่
“ข้าวต้มโรงพยาบาลไม่อร่อยเลยค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้ พ่อจะซื้อของที่ลูกชอบมาให้เอง ดีไหม?”
“สัญญานะคะ”
“สัญญา”
ดึกสงัด – หลังเที่ยงคืน
เมื่อทุกคนเข้านอน พิพัฒน์กลับไป อันนาเข้าห้องน้ำ
นิรินทร์ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุม ลากเสาน้ำเกลือออกจากห้อง
ร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชม.อยู่ชั้นล่าง...เป้าหมายของเธอคือขแซนวิชกับนมกล่องหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันถึงเคาน์เตอร์...
“ใครอนุญาตให้คุณลงมา?”
เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง
หมอหนุ่มยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเรียบแต่แววตาคาดโทษ
“ฉันหิวค่ะ” เธอตอบหน้าตาย
“คิดว่าคนไข้ที่เพิ่งเย็บหัวไปสิบห้าเข็ม แขนอีกข้างเข้าเฝือกอยู่ ควรลงมาซื้อขนมเองตอนเที่ยงคืนเหรอครับ?”
เธอเมินหน้า เดินจ่ายเงิน แต่ทันใดนั้น...ร่างทรุดวูบ
เขาคว้าไว้ทันก่อนที่เธอจะล้มทั้งยืน
“ฤทธิ์ยาแก้ปวดแรงกว่าสิ่งที่คุณคิดนะครับ คุณคนเก่ง”
เขาพูด ก่อนจะช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบอกกลับห้อง
อันนาที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำถึงกับผงะ
“เกิดอะไรขึ้นคะ!?”
“เพื่อนคุณหนีลงไปหาขนม แต่เกิดหน้ามืดขึ้นมาซะก่อน”
อันนามองนิรินทร์อย่างระอา แล้วเหลือบมองหมอหนุ่ม
เขาวางร่างคนเจ็บลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนห่มผ้าให้เธอเงียบๆ
“ช่วยดูเพื่อนคุณด้วยนะครับ...เธอดื้อไม่เบาเลย”
เขาหันหลังจะออกจากห้อง แต่ในจังหวะนั้นเอง
นิรินทร์ลืมตามองผ่านแสงไฟอ่อน แล้วเอ่ยเบาๆ
“ก็แค่หิว ไม่ได้ดื้อซะหน่อย”
เขาชะงัก ยิ้มบางๆ โดยไม่หันกลับ
แล้วเดินจากไป
...ทิ้งแรงสั่นบางเบาในหัวใจของเธอไว้เบื้องหลัง
แรงดึงดูดบางอย่าง...เริ่มต้นขึ้นแล้วจากค่ำคืนนี้
