บทที่ ๔ ความผิดที่เกาะกินหัวใจ 2
คิรานนท์ยอมรับว่าไม่พอใจเหมือนกัน ที่ได้ยินเรื่องราวทุกอย่างจากปากของเพื่อนรัก แต่ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจแก้ไขอะไรได้ หนำซ้ำนราภัทรเองก็รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองมากพออยู่แล้ว เขาจึงไม่คิดที่จะด่าว่าซ้ำเติมให้เพื่อนหนุ่มต้องทุกข์ใจหนักขึ้นไปอีก คิรานนท์ก็ได้แต่หวังเอาไว้ว่าความเข้าใจจากคนรอบข้าง คงช่วยให้นราภัทรอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดมากนัก
“จริงอย่างที่คริสว่านะเคียว พวกเราเข้าใจนะว่าแกไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้” อาณัติพูดขึ้นบ้างหลังจากที่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง มือหนายกขึ้นตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ
นราภัทรละสายตาจากแก้วเหล้าในมือ หันไปมองหน้าเพื่อนรักทั้งสองอย่างรู้สึกขอบคุณที่ยังคงอยู่เคียงข้างกัน ในเวลาทุกข์ใจเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่เสียใจเลยที่ได้รู้จักกับทั้งสองคนที่มั่นใจว่าเป็นเพื่อนแท้ที่ดีที่สุด
“ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไปดี ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง”
คนทำผิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด ก่อนจะยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันบรรจุอยู่ดื่มเพียงรวดเดียวจนหมดแก้ว จากนั้นก็รินใหม่ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ชายหนุ่มอีกสองคนลอบสบตากันอย่างรู้สึกหนักใจ
ปกติแล้วนราภัทรไม่ใช่คนชอบดื่มเหล้า เขาจะดื่มบ้างก็เฉพาะตอนออกงานสังคม ไม่ใช่ดื่มแทนน้ำแบบนี้ อาณัติเลิกคิ้วให้คิรานนท์เป็นเชิงขอความเห็น คิรานนท์เองก็รับรู้ในปฏิกิริยานั้นดี จึงได้ตัดสินใจพูดในสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดออกมา
“ถ้าจัดการเรื่องงานศพของผู้หญิงคนนั้นให้สมเกียรติก็เป็นทางออกที่ดีนะเคียว อย่างน้อยแกก็ได้ทำบางอย่างเพื่อไถ่โทษ” อาณัติพยักหน้าเห็นด้วยทันทีที่คิรานนท์พูดจบ เพราะวิธีนี้คงเป็นทางเลือกเดียวและเป็นทางเลือกสุดท้ายที่นราภัทรจะสามารถทำให้หญิงสาวได้
“…..” นราภัทรไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ในใจก็เห็นด้วยกับความคิดของคิรานนท์อยู่เหมือนกัน
เมื่อได้รับคำตอบที่เขาเองก็คิดว่าดีที่สุดแล้ว นราภัทรจึงหันไปสนใจกับขวดแก้วใสที่มีเหล้าบรรจุอยู่เกือบเต็มต่อไป ไม่ฟังคำทัดทานของสองหนุ่มที่เกรงว่าเหล้าจะทำพิษเอา
ในที่สุดทั้งคิรานนท์และอาณัติต่างก็ต้องปล่อยให้นราภัทรดื่มต่อไป เพราะห้ามไม่ได้ จังหวะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ของอาณัติดังขึ้นขัดจังหวะ เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจออย่างชัดเจน เขาจึงขอตัวลุกออกไปข้างนอกทันที
“ว่ายังไงครับมิกิ” อาณัติกรอกเสียงลงไปก่อนเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นยังเงียบอยู่ น้ำเสียงของเขาไม่มีแววหยอกล้อเช่นทุกครั้ง จนนรินธรเองก็นึกแปลกใจ
“นาย...เอ่อ นี่พี่ชินอยู่กับพี่เคียวหรือเปล่าคะ” นรินธรพยายามพูดให้ฟังดูไพเราะที่สุด เพราะไม่อยากถูกพี่ชายดุเอาอีก
“อยู่ครับ มิกิมีอะไรหรือเปล่า” อาณัติยังคงต่อบทสนทนากับหญิงสาวไปเรื่อยๆ ยิ่งฟังนรินธรก็ยิ่งเริ่มเห็นเค้าความผิดปกติจากน้ำเสียงของเขา แต่เธอก็ยังไม่คิดจะเปิดปากถาม
“เปล่าหรอกค่ะ มิกิเห็นพี่เคียวปิดเครื่องก็เลยเป็นห่วง ยังไงก็อย่าพาพี่เคียวไปเที่ยวมากนักละ หัดรู้จักทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้างสิ เอาแต่เที่ยวอยู่ได้” น้ำเสียงของเธอดูหาเรื่องเสียเต็มประดา
อาณัติลอบถอนหายใจอย่างหนักหน่วง พี่ชายของเธอเป็นคนโทรไปตามเขามาแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายถูกแม่สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มต่อว่าเอาอีก ชายหนุ่มเลือกที่จะตัดบทเอาง่ายๆ ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะมาต่อกรกับเธอ เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นทำให้เขาทุกข์ใจแทนนราภัทรมามากพออยู่แล้ว
“พวกพี่ทำธุระกันอยู่น่ะ เดี๋ยวสักพักเคียวก็คงจะกลับแล้วละ แค่นี้ก่อนนะครับ” พูดเพียงแค่นั้นแล้วรีบกดตัดสายทิ้งทันที ถ้าขืนปล่อยให้ปลายสายตะโกนต่อว่ามาอีก เขาคงคิดมากจนเส้นประสาทแตกตายอยู่ที่หน้าผับนี่แน่
นรินธรนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ รู้สึกโกรธเคืองคนที่บังอาจวางสายหนี ปกติอาณัติมีแต่จะไม่ยอมวางสาย แต่ทำไมครั้งนี้กลับทำเหมือนกำลังมีพิรุธอะไรสักอย่าง ริมฝีปากบางสวยที่ชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันแน่นเช่นทุกทีที่ถูกขัดใจ ดวงตากลมโตแวววาวหรี่ลงนิดๆ ก่อนจะเบิกกว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
‘หรือกำลังอยู่กับผู้หญิงคนอื่นนะ ใช่แน่ๆ...คนหลอกลวง! ต่อไปจะไม่สนใจแล้ว คอยดูสิ!’
คิดได้อย่างนั้นก็หัวเสีย เดินกระแทกเท้าปึงปังขึ้นห้องไป ตามด้วยเสียงปิดประตูโครมใหญ่ ท่ามกลางความแปลกใจของคนเก่าแก่อย่างป้านิ่มและลุงปรีชา
ผู้อาวุโสทั้งสองพากันคิดไปเหมือนทุกครั้งว่าสาวน้อยหวงพี่ชายคงไปรู้อะไรที่ไม่ชอบใจมาอีกแน่ๆ ถึงได้แสดงอาการแบบนี้ ทว่าท่านทั้งสองนั้นคิดผิดถนัด เพราะการกระทำของนรินธรนั้นเกิดจากความหึงหวงโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกัน
ผ่านมาครู่ใหญ่ เสียงรถยนต์ที่บีบแตรเรียกอย่างเร่งรีบทำให้ลุงปรีชารีบเดินไปเปิดประตูรั้ว เมื่อรถคันหรูจอดสนิทแล้ว คิรานนท์จึงก้าวลงมาจากรถ พร้อมขอให้ลุงปรีชาช่วยพยุงนราภัทรเข้าไปข้างใน ตอนนี้ชายหนุ่มไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะเดินได้ด้วยตัวเอง เพราะกำลังเมาอย่างหนัก
“ทำไมคุณเคียวถึงเมาหนักแบบนี้ละครับ” ลุงปรีชาถามอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นชายหนุ่มในสภาพเช่นนี้มาก่อน
“ผมว่าลุงอย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะครับ ผมฝากเคียวมันหน่อยแล้วกัน...ผมลาเลยนะครับ” คิรานนท์กล่าวลาอย่างเร่งรีบ
“อ้าว ทำไมรีบกลับนักละครับ” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถามขึ้นอีก ขณะเข้าไปประคองร่างของคนเมาไม่ได้สติเอาไว้
“อ๋อ ผมขี้เกียจตอบคำถามของมิกิน่ะครับ นี่ไอ้ชินมันก็เอาตัวรอดไปแล้วด้วย เคียวก็เมาไม่รู้เรื่อง ผมไม่มีตัวช่วยเลยนี่ครับลุง ผมไปก่อนนะครับ” คิรานนท์ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไปอย่างเร่งรีบ
ทันทีที่ลุงปรีชาพยุงร่างสูงใหญ่กำยำเข้าไปในบ้าน นรินธรที่กำลังจะลงมาต้อนรับพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก็ถึงกับหน้าถอดสีทันที เจ้าของร่างเล็กบอบบางเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยถามลุงปรีชาอย่างที่คิรานนท์คาดไว้ แต่เธอก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรที่ช่วยให้หายข้องใจได้เลย
“ลุงปรีชาคะ มิกิว่าพาพี่เคียวขึ้นข้างบนเลยดีกว่าค่ะ แล้วเดี๋ยวมิกิจะดูแลต่อเอง” นรินธรพูดขึ้นอย่างใจเย็น พยายามสะกดกั้นความไม่พอใจไว้ในส่วนลึก ลุงปรีชาจึงพาชายหนุ่มไปยังห้องนอนอย่างทุลักทุเลเต็มทน ด้วยขนาดตัวที่แตกต่างกันมากพอสมควร
“ขอบคุณนะคะ ลุงมีอะไรก็ไปทำต่อเถอะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณผู้สูงวัยกว่าด้วยรอยยิ้มฝืนๆ เมื่อเห็นว่าลุงปรีชาออกไปแล้วจึงจัดการเอาผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเย็นมาเช็ดตัวให้พี่ชาย ‘คราวนี้เราคงต้องคุยกันยาวหน่อยแล้วนะคะพี่เคียว’
เธอคิดก่อนจะทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบๆ...
แสงแดดยามเช้าที่ทอแสงผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานใส ช่วยปลุกให้นราภัทรรู้สึกตัวตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดหัวหนักๆ ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง หรี่ตามองไปรอบตัวอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่าที่นี่คือห้องนอนของตัวเองจึงพอเดาได้ไม่ยากว่าเพื่อนรักคนใดคนหนึ่งคงจะเป็นคนพามาส่งจนถึงที่
“พี่เคียว ตื่นแล้วเหรอคะ” นรินธรเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชามข้าวต้มหอมกรุ่น หญิงสาววางมันลงที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวลงหอมแก้มพี่ชายแผ่วเบาตามความเคยชิน
“พี่เคียวทานข้าวต้มร้อนๆ ก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวจะได้ทานยา”
นรินธรบอกอย่างห่วงใยเมื่อเห็นพี่ชายยกมือขึ้นกุมขมับ อาการบ่งบอกชัดเจนว่าพิษสุรากำลังเล่นงานเข้าเสียแล้ว ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร แต่ก็ยื่นมือไปรับชามข้าวต้มอย่างไม่ขัดข้อง เพราะไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วเหมือนกัน
เขาพยายามกล้ำกลืนข้าวต้ม ที่ในเวลาปกติมันคงอร่อยกว่านี้ลงคอไปอย่างยากเย็น ยิ่งนึกถึงอนันตญาก็ยิ่งหมดความอยากอาหารขึ้นมาเสียดื้อๆ นรินธรรับชามข้าวต้มที่พร่องไปไม่ถึงครึ่งมาวางเอาไว้ที่เดิม ก่อนจะส่งยาแก้ปวดให้
“ทานยานะคะจะได้ดีขึ้น เรายังมีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีกค่ะพี่เคียว” นรินธรบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะส่งยาและแก้วน้ำดื่มให้ชายหนุ่ม จากนั้นจึงขอตัวลงไปรอข้างล่างระหว่างที่ปล่อยให้เขาได้จัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย
นราภัทรมองตามร่างบอบบางไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะลุกผุดขึ้นจากเตียงนอน พยายามไม่สนใจอาการปวดศีรษะของตนเอง เพราะวันนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาจะต้องจัดการ
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องน้ำ ภาพอนันตญาที่นอนอยู่ในอ่างอาบน้ำที่มีแต่เลือดเต็มไปหมดก็ปรากฏขึ้นในห้วงแห่งความคิดอีกครั้ง
นราภัทรหลับตาลงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ก่อนจะลงไปนอนแช่น้ำในอ่างพลางคิดถึงเรื่องราวต่างๆ น้ำตาของชายหนุ่มไหลอาบใบหน้าด้วยความรู้สึกขมขื่นที่ยากจะบรรยาย
เขาเสียใจเหลือเกินที่ทำเรื่องร้ายกาจลงไป จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องฆ่าตัวตาย ถ้าหากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่มีวันทำลายชีวิตของเธอด้วยวิธีต่ำช้าแบบนั้น จะว่าไปตอนนี้ เขาก็กำลังได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสมแล้วไม่ใช่หรือ อนันตญาได้เอาคืนด้วยการจองจำเขาไว้ด้วยความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแล้ว
นราภัทรหลับตานิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่เนิ่นนาน ความเศร้าเสียใจมากมายที่ปรากฏขึ้น บอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาเสียใจมากแค่ไหนที่ทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น
น้ำตาทุกหยดรินไหลออกมาก็นั้น เพื่อแทนคำขอโทษที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้เธอต้องตาย เพื่อขอร้องให้เธอยกโทษให้เขา และก็เพื่อผู้หญิงที่เขารักและปรารถนาเหนือสิ่งใด
