พันธะมังกร เหนือชะตาฟ้า บทที่ 4
แต่ก่อนที่เขาจะหลับตาลงสนิท เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ จากข้างนอกกระท่อม "คุณชายเหลียนฮวา...ข้าเป็นลุงหลิวจากหมู่บ้าน ข้ามาเยี่ยมดูอาการเจ้า" เสียงแก่ชราดังขึ้น ทำให้เหลียนฮวาเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ลุงหลิว ชายชราที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและเคยช่วยเหลือบิดาของเหลียนฮวาในความทรงจำที่ไหลเข้ามา เขายันตัวลุกขึ้นช้าๆ รู้สึกถึงความอ่อนเพลียแต่ก็ฝืนยิ้ม "เข้ามาเถิดลุงหลิว...ข้าดีขึ้นแล้ว" ลุงหลิวเปิดประตูเข้ามา ถือตะกร้าผลไม้สดและขวดน้ำผึ้งเล็กๆ สีหน้าของลุงหลิวแสดงถึงความห่วงใยอย่างชัดเจน ผิวหน้าที่กร้านแดดและมือที่หยาบกร้านจากการทำนา ทำให้เหลียนฮวารู้สึกถึงความจริงใจ
"ดีใจที่เจ้าฟื้น ข่าวว่าเจ้าป่วยหนัก ข้าคิดว่า...เอ่อ...อาจจะไม่รอดเสียแล้ว" ลุงหลิวพูดพลางวางตะกร้าลงบนโต๊ะเตี้ย ขณะที่เดินเข้ามานั่งข้างเตียง เหลียนฮวายิ้มตอบ แม้จะยังสับสนแต่ก็พยายามแสดงออกตามความทรงจำของร่างนี้ "ขอบคุณลุงมาก ข้าคิดว่าจะลองออกไปเดินเล่นสักหน่อย เพื่อฟื้นฟูร่างกาย" ลุงหลิวพยักหน้า มองรอบกระท่อมที่ดูโทรมลงหลังจากบิดาของเหลียนฮวาจากไป "บิดาของเจ้าคือคนดี เสียดายที่จากไปเร็วเกินไป ถ้าเจ้าต้องการอะไร บอกลุงได้เลย ข้าจะให้ลูกชายมาช่วยซ่อมกระท่อมให้" การสนทนานี้ทำให้เหลียนฮวาได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหมู่บ้านมี่หลิน ชาวบ้านที่ยากจนแต่ใจดี และความทรงจำของบิดาที่เคยสอนหนังสือให้เด็กๆ ลุงหลิวเล่าเรื่องราวเก่าๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "สมัยก่อน บิดาเจ้ายังเคยรักษาชาวบ้านด้วยสมุนไพร ข้าคิดว่าเจ้าคงสืบทอดความรู้นั้นมาได้" เหลียนฮวาพยักหน้า ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ นี่คือจุดเริ่มต้นของการปรับตัว เขาตอบกลับ "ข้าจะลองดู ลุงหลิว...ขอบคุณที่มาเยี่ยม" ลุงหลิวลุกขึ้น ตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจากไป "ดูแลตัวเองให้ดีนะคุณชาย หมู่บ้านเรายังต้องการคนอย่างเจ้า"
การมาของลุงหลิวทำให้เหลียนฮวารู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับโลกใหม่นี้ แม้จะยังสับสน แต่ก็จุดประกายความหวังเล็กๆ ในใจ เขาลุกขึ้นยืน มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเด็กๆ ในหมู่บ้านกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้า นี่คือชีวิตใหม่ที่เขาต้องเรียนรู้
วันเวลาในโลกยุคโบราณผ่านไปเชื่องช้ากว่าที่ไป๋มู่เหยียน...หรือในนามใหม่ ‘เหลียนฮวา’ เคยจินตนาการไว้มากนัก แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านกระดาษสาแปะหน้าต่างทำให้เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียที่ยังคงติดตัว สัปดาห์แรกผ่านไปอย่างยากลำบาก ร่างกายที่อ่อนแอนี้เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุด เพียงแค่เดินไปตักน้ำจากบ่อท้ายหมู่บ้านก็ทำให้เขาหอบจนตัวโยนแล้ว กล้ามเนื้อที่ไร้ซึ่งการใช้งานมานานประท้วงทุกครั้งที่ขยับเขยื้อน มันเป็นความจริงอันน่าหงุดหงิดสำหรับศัลยแพทย์ที่เคยยืนผ่าตัดต่อเนื่องได้นานกว่าสิบชั่วโมง เขากำหมัดแน่นขณะยืนหอบเหนื่อยข้างบ่อน้ำ มองดูชาวบ้านที่กำลังตักน้ำอย่างคล่องแคล่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและหงุดหงิด ลมหายใจที่แผ่วเบาและเหงื่อที่ไหลอาบหน้าทำให้เขาต้องนั่งลงพัก ใจหนึ่งก็อยากจะตะโกนออกมาดังๆ เพื่อระบาย แต่เขาก็เพียงแค่ถอนหายใจยาวเหยียดแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง
ในฐานะแพทย์ สิ่งแรกที่เขาทำคือการประเมิน ‘ผู้ป่วย’ ซึ่งก็คือร่างกายของตัวเอง จากความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของเหลียนฮวาคนเดิม ประกอบกับการวินิจฉัยของเขาเอง เขาพบว่าร่างนี้ประสบภาวะขาดสารอาหารเรื้อรังและมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแออย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เด็กและการดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอหลังบิดาเสียชีวิต เขานั่งลงหน้าตำราเก่าของบิดา เปิดดูหน้าที่เกี่ยวกับสมุนไพร พลางใช้นิ้วลูบผิวหนังที่ซีดเซียวและสัมผัสชีพจรที่แผ่วเบาของตัวเอง "ชีพจรอ่อน ผิวแห้งกร้าน นี่คือสัญญาณของการขาดธาตุอาหารพื้นฐาน" เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นควันไฟจากบ้านชาวบ้านลอยขึ้นมา ทำให้เขานึกถึงกลิ่นอาหารที่เคยกินในโลกเก่า แต่ตอนนี้มีเพียงข้าวต้มจืดๆ ที่ต้องปรับปรุง
