4.เสแสร้งแกล้งทำ
*** ทักทายคร้า ***
มีนาสบนัยน์ตาสีสนิมและดิ้นเต็มแรง พอหลุดเป็นอิสระฝ่ามือนุ่มก็ฟาดลงบนใบหน้าคมจนสะบัด แอชลีย์หันขวับกลับไปมองนัยน์ตาลุกวาว แต่ก็ไม่เท่าสมิงสาวที่กัดแล้วยังยืนผงาดอยู่กับที่อย่างไม่เกรงกลัว
“เวลาผ่านไปนานแค่ไหน นิสัยชั่วๆ เห็นผู้หญิงเป็นของเล่นเศรษฐีก็ไม่เคยเปลี่ยน” มือบางกำเข้าหากันแน่น แววตามองเขาอย่างเกรี้ยวกราด
“ผมแค่เสนอ ถ้าคุณไม่สนองสองเราก็จบกันเท่านั้นเอง” เขายกไหล่อย่างไม่ยี่หระ
มีนามองอย่างโมโห นี่คงไปเสนอทางเลือกให้สาวๆ จนเคยตัวแล้วสิ
“พรุ่งนี้คุณรีบเก็บข้าวของออกจากที่นี่ซะ เพราะฉันจะไม่ยอมให้คนนิสัยแย่ๆ เข้าพักในรีสอร์ตอีกต่อไป”
“ได้ไงคุณ ผมจ่ายค่าห้องล่วงหน้าไปหมดแล้วนะ ผมจะแจ้งตำรวจข้อหาฉ้อโกง”
“ฉันก็จะแจ้งกลับที่คุณกอดรัดลวนลามฉันเมื่อสักครู่” เธอสวนกลับไปแล้วก็หน้าเห่อร้อน
แอชลีย์ยกไหล่ แบมือไปข้างตัวอย่างน่าหมั่นไส้ที่สุดในสายตาเธอ
“ไหนล่ะหลักฐาน ไม่มี้ ถ้าไม่มีหลักฐานศาลไม่รับฟ้องหรอกนะคุณ แต่หลักฐานบนหน้าผมนี่สิชัดเจน”
มีนามองรอยนิ้วมือบนใบหน้าคมอย่างหวั่นๆ เพราะมันชัดเจนว่าเธอทำร้ายร่างกายเขา
“จะเอายังไง”
แอชลีย์กระตุกยิ้มอย่างเป็นต่อ ก่อนจะขยับไปพิงขอบประตู สายตามองริมฝีปากอิ่มที่เม้มเป็นเส้นตรงเหมือนเจ้าตัวกำลังอดทนสุดขีด
“คุณตบผมด้วยมือ ผมก็ต้องเอาคืนเหมือนกัน”
มีนาตกใจเบียดแผ่นหลังกับผนัง ร่างบึกบึนยิ้มน้อยๆ ขยับเท้าเข้าไปหา
“คุณจะตบฉันคืนจริงๆ เหรอ” เธอถามอย่างหวั่นๆ ดวงตาคมโตหลุบมองมือใหญ่ พอเขาขยับไปใกล้เธอก็ขยับออกไปด้านข้าง แต่แอชลีย์ก็กักเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง มีนาบีบตัวลีบเพื่อหลบหลีกกายกำยำที่ทาบลงมาชิด ลำแขนแข็งแรงกอดรัดร่างงามจนแนบสนิท ไอร้อนจากร่างบึกบึนซึมผ่านเนื้อผ้าจนเธอรู้สึก
“คุณใช้มือตบ แต่ผมจะประกบคุณด้วยปาก แล้วเราหายกัน”
หญิงสาวอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง ริมฝีปากอุ่นฉกวูบลงมาประกบจูบกลีบปากหวานที่เขาคิดอยากลิ้มลอง หญิงสาวมัวแต่ตกตะลึงกับการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ปล่อยให้เขาจูบไซ้และเล็มทั่วกลีบปากนุ่มอย่างดูดดื่ม ความหอมหวานละมุนละไมทำให้เขาครางเบาๆ ในลำคอ
หวานในปากละลายไปถึงหัวใจ...เขาบอกตัวเองและถูกใจกับความหวานล้ำของริมฝีปากนุ่มจนหยุดไม่ได้
“อืม...” เสียงครางของเขาเรียกสติของเธอกลับมา ร่างระหงดิ้นรนออกห่าง แต่เขาก็กอดรัดแน่นจนขยับไปไหนไม่ได้ จูบนุ่มละมุนเริ่มเร่งเร้าเรียกร้องจนเธออ่อนแรง ริมฝีปากร้อนเคล้าคลึงดูดกลืนลมหายใจร้อนผะผ่าว ก่อนจะสอดแทรกปลายลิ้นรุกคืบเข้าไปในช่องปากนุ่ม
“อื้ม...อื้ม” เธอครางประท้วง หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำดุจกลองนับพันตีอยู่ข้างใน และเขาก็ไม่หยุดที่ริมฝีปากอย่างที่บอก ปากร้อนโลมเลียไปตามแก้มนุ่มแดงก่ำอย่างใคร่ลิ้มลอง
“คุณ...บอกแค่ประกบด้วยปาก ไม่ใช่ลากจูบไปทั่วแก้มนะ” เธอประท้วงเสียงสั่นพลางหอบหายใจแรงรัว
แอชลีย์ครางอย่างขัดใจและไม่ยอมหยุด รุกเร้าลากลิ้นไปที่ใบหูเล็กและจูบไซ้แผ่วเบา ร่างงามสะท้านกับสัมผัสวาบหวามที่เขาลงทัณฑ์
“หยุด! ฉันบอกให้หยุด” เธอสั่งพร้อมกับออกแรงดันเขาออก แต่ความแข็งแกร่งของวงแขนทำให้เธอใช้แรงเกือบหมดแต่ร่างสูงไม่ยอมขยับ ปลายลิ้นแตะปลายคางแหลมแล้วไล้ไปตามแก้มปลั่ง สายตาคมเร่าร้อนด้วยเพลิงเสน่หาทอดมองดวงหน้าแดงระเรื่อไม่วางตา
ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกเขาได้ แต่ทำไมอยู่ใกล้นางแบบคนนี้ทีไร หัวใจหวั่นไหวไร้การควบคุมแบบนี้วะ บ้าฉิบ...เขากล่าวโทษตัวเองก่อนจะยิ้มให้เธอ
“จูบแค่ปากแต่ไม่ลากลิ้นบนผิวแก้ม สเต็ปการจูบก็ไม่ครบสูตรสิคุณ” เขายิ้มยั่ว โลมเลียดวงหน้าด้วยสายตาพราวระยับ
“คุณจูบที่ปาก ฉันจะถากถางคุณด้วยตา แล้วก็...” เธอหยุดพูด แอชลีย์จ้องตาเธออย่างรอคำตอบ “แล้วก็กระทืบเท้าคุณแบบนี้” มีนากัดฟันพูดแล้วกระแทกส้นรองเท้าบูทแหลมยาวสองนิ้วลงบนหลังเท้าใหญ่ แอชลีย์ขยับเท้าหนีแต่ก็เสียดปลายนิ้วชี้จนเขารู้สึกเจ็บและยอมคลายวงแขนออก มือบางทั้งสองข้างผลักเขาเซไปด้านหลัง
“ฉันภาวนา...ขออย่าได้เจอผู้ชายชั่วๆ อย่างคุณตลอดชีวิต” พูดจบร่างระหงก็วิ่งลงบันได แต่เสียงตะโกนของเขายังดังแว่วมาให้ได้ยิน
“ต่อให้คุณหนีไปสุดหล้า ผมก็จะตามหาคุณจนเจอรับรองได้”
หญิงสาวไม่กล้าหันกลับไปมองคนพูด แต่ก็รู้สึกหวั่นๆ ในใจ ไม่ใช่กลัวเขา แต่สิ่งที่เธอกลัวคือเงาสลัวที่ก่อกวนในหัวใจนั่นต่างหาก เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เงานั้นเริ่มส่อเค้าให้เห็นรางๆ แล้ว
อีกมุมหนึ่งของความมืด รถของรอนกับนิคสองคนร้ายที่เข้าไปรุมกินโต๊ะแอชลีย์เมื่อสักครู่วิ่งออกจากไร่องุ่นมิลาเวียร์อย่างเร่งรีบ พอพ้นประตูทางออกคนขับก็ต้องแตะเบรกกะทันหัน สายตาตื่นตระหนกจ้องมองมาร์ตินที่แบกปืนลูกซองอยู่ด้านหน้า คนงานในไร่สี่คนพร้อมอาวุธครบมือยืนเป็นแผงหลัง แววตาเจ้าของไร่แข็งกร้าวจนทั้งสองหายใจไม่ทั่วท้อง คนงานคนหนึ่งเดินไปกระชากประตูรถเปิดออก
“นายมาร์ตินอยากคุยด้วย”
ทั้งรอนและนิคจำต้องลงไปยืนหน้ารถ มาร์ตินมองใบหน้าแตกยับเยินของบอดี้การ์ดแมนสันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“ฉันเคยบอกแล้วว่าห้ามพวกนายหรือคนของแมนสันมาทำร้ายแขกหรือคนในไร่มิลาเวียร์” มาร์ตินกวาดสายตามองสมุนของน้องชายด้วยแววตาดุดัน
“แต่แอชลีย์เป็นศัตรูของเรานะครับคุณมาร์ติน”
รอนบอกแล้วก้มหน้ามองพื้น เพื่อหลบสายตาพิฆาตของมาร์ตินที่ตวัดมามอง
“คู่แข่งของเจ้านายแก แต่เขาเป็นแขกของฉัน” มาร์ตินประกาศกร้าว “ฝากไปบอกนายของแกด้วย ว่าถ้าคิดจะทำชั่วให้ไปทำที่อื่น”
รอนและนิคก้มศีรษะรับคำ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามาร์ตินและคนงานก็หายไปแล้ว บอดี้การ์ดร่างยักษ์ถึงกับเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอก เพราะรู้ดีว่าเวลาคุณชายใหญ่ผู้สุขุมและเย็นชาโกรธจะเปลี่ยนไปราวกับหลุดออกมาจากขุมนรกเลยทีเดียว นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ลาฟเก้เจ้านายเขาไม่อยากข้องเกี่ยวด้วย
***
