3.เสแสร้ง แกล้งทำ
*** ทักทายคร้า ***
มีนามองตามอย่างแปลกใจ ความสงสัยทำให้เธอเตรียมจะผละไป แต่ข้อมือบางก็ถูกเขายึดไว้
“ถ้านั่งกินข้าวด้วยกันในฐานะคนรู้จักจะได้มั้ย”
“ฉัน...” เธอเตรียมจะปฏิเสธ แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในหัวใจสั่งให้ร่างระหงนิ่งเงียบ ซึ่งชายหนุ่มถือว่าเป็นการตอบตกลง มือหนาจึงผายมือเชิญให้เธอนั่งโดยไม่สนใจว่าเธอจะเต็มใจหรือไม่ มีนาจำต้องนั่งลงตรงข้ามเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ขอบคุณที่ให้เกียรตินั่งรำลึกความหลังด้วยกัน”
มีนาไม่สนใจคำพูดของเขามากนัก เพราะเธอสนใจรถคันที่จอดอยู่หน้าบ้านเธอมากกว่า ถ้าจำไม่ผิดรถคันนั้นเป็นรถของตระกูลแมนสัน ซึ่งเป็นตระกูลของผู้ชายคนที่ทำให้เธอเกิดมา และเธอก็อยากให้เขายอมรับเป็นลูกด้วยเช่นกัน
แอชลีย์ลอบสังเกตคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเงียบๆ เมื่อเห็นเธอให้ความสนใจกับชายสองคนซึ่งเป็นเจ้าของรถเก๋งที่ขับผ่านไปเมื่อสักครู่มากเป็นพิเศษ คิ้วหนาที่ทอดขนานกับดวงตาคมเข้มยกขึ้นอย่างแปลกใจ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง อาหารเย็นภายใต้ความใคร่รู้ก็จบลง ร่างสูงลุกขึ้นทำให้มีนาลุกตามทันที ดวงตาคมโตมองไฟหน้ารถที่ขับกลับออกไปอย่างหม่นเศร้า
“ผู้ชายสองคนนั้นเป็นแขกของคุณหรือไง” แอชลีย์มองไฟท้ายรถจนกระทั่งหายไปจากรัศมีของสายตา
“พวกเขาเป็นแขกของพ่อกับแม่ฉันค่ะ” เสียงหม่นเศร้าของเธอทำให้แอชลีย์มองอย่างไม่เข้าใจ มีนาเตรียมจะก้าวลงบันได แอชลีย์ขยับตาม แต่ร่างงามก็หันไปมอง
“ฉันกลับเองได้ค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
หญิงสาวเดินไปหยุดกลางถนน ตามองไปยังทิศทางที่รถขับออกไปอย่างเสียดาย จากนั้นร่างงามก็หมุนกายวิ่งกลับไปที่บ้านเพื่อสอบถามมารดาถึงการมาของรถคันเมื่อสักครู่
“แม่ขา พ่อขา คนบ้านโน้นมาทำไมคะ” มีนาตะโกนถามขณะที่วิ่งผ่านประตูบ้านเข้ามา กรวลัยหันไปมองสามี ก่อนจะมองบุตรสาวอย่างสงสาร
“พ่อส่งคนมาบอกให้หนูเตรียมตัวไปงานเลี้ยงที่เพนตากอนวันมะรืนนี้จ้ะ”
มีนายิ้มกว้างและเข้าไปกอดมารดาอย่างดีใจ
“พ่อให้คนมาบอกจริงๆ เหรอคะแม่”
กรวลัยพยักหน้าแล้วดันร่างบุตรสาวออกห่าง มาร์ตินเดินไปลูบศีรษะนุ่มอย่างเข้าใจ
“พ่อคงอยากพาเราไปเปิดหูเปิดตา อย่าทำให้พ่อเขาผิดหวังล่ะ” มาร์ตินบอกและยิ้มให้กำลังใจ แต่เขารู้ดีว่าลาฟเก้ แมนสันไม่ต้องการเลือดเนื้อเชื้อไขก้อนนี้สักเท่าไร ที่มาทำดีด้วยคงเพราะต้องการเอาตำแหน่งนางแบบสันติภาพของบุตรสาวนอกสมรสไปเชิดหน้าชูตามากกว่า
“ค่ะพ่อ หนูจะทำให้ผู้ชายคนนั้นยอมรับหนูเป็นลูกให้ได้”
กรวลัยถึงกับน้ำตาคลอด้วยความสงสารลูก หากเธอย้อนเวลากลับไปได้ เธอจะไม่ยอมผู้ชายชั่วๆ คนนั้นเด็ดขาด
ย้อนไปเมื่อยี่สิบหกปีก่อน เธอสมัครเป็นแม่บ้านในตระกูลแมนสัน ทำให้รู้จักกับบุตรชายของเจ้าของบ้าน นั่นก็คือ มาร์ตินและลาฟเก้ แมนสัน ซึ่งทั้งสองคนมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มาร์ตินเป็นผู้ชายสุขุมเยือกเย็นแต่ก็แฝงไปด้วยความดุดัน ในขณะที่ลาฟเก้เลือดร้อนและทะเยอทะยานแต่ก็เกรงกลัวพี่ชายเสมอ แล้ววันหนึ่งมาร์ตินและลาฟเก้ก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเพราะแย่งเธอ แต่เธอตัดสินเลือกที่จะแต่งงานกับมาร์ติน ทำให้ลาฟเก้อยากเอาชนะจึงลงมือปลุกปล้ำเธอ จนกระทั่งเธอตั้งท้องมีนา ลาฟเก้ก็แสดงความป่าเถื่อนออกมาจนเธอทนไม่ได้หนีออกจากบ้านในขณะที่ท้องได้เจ็ดเดือน
เมื่อครบกำหนดคลอด มาร์ตินไปพบเธอที่โรงพยาบาลและรับเป็นพ่อของมีนา จากนั้นก็พาเธอมาอยู่ที่นี่ และเขาก็กลับไปใช้นามสกุลของมารดาก็คือมิลาเวียร์ เพื่อตัดขาดจากน้องชายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อมีนากลับไป แอชลีย์ก็ทิ้งตัวลงนอนอยู่ในความมืดสลัวของแสงจันทร์ สายตาคมทอดมองพระจันทร์ดวงโตที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ พร้อมกับปลดปล่อยความคิดไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่นานร่างสูงก็ขยับตัวเมื่อมีเสียงเท้าของแขกยามวิกาลเดินขึ้นบันไดมา แอชลีย์รีบไปหลบข้างประตู สายตาคมกริบมองไปที่บ้านหลังใหญ่ เห็นร่างโปร่งระหงเดินอยู่หน้าบ้าน แล้วใครกันที่มาพบเขายามวิกาลแบบนี้
ตึก ตึก
คนด้านนอกพยายามจะผลักประตูเข้ามาข้างใน แต่ก็เปิดไม่ได้เพราะเขาล็อกเอาไว้ เมื่อมั่นใจว่าแขกที่มาเยี่ยมไม่ได้รับการเชื้อเชิญ ร่างสูงก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง ไม่ถึงเสี้ยวนาทีประตูห้องพักก็ถูกกระแทกเข้ามา ตามด้วยชายร่างยักษ์สองคนพร้อมอาวุธปืนเดินเข้ามาในห้อง แอชลีย์เฝ้าสังเกตอยู่ข้างระเบียงเพื่อหาทางจัดการแขกไม่ได้รับเชิญ
“ไปไหนแล้ววะ”
“หวัดดีพวก ต้องการพบฉันเหรอ” ไฟในห้องสว่างวาบขึ้น มันสองคนถึงกับผงะตวัดปลายปืนไปด้านหลัง แอชลีย์ตวัดเท้าไปที่มือมันคนหนึ่ง ทั้งปืนทั้งคนเสียหลักเซไปชนผนัง มืออีกข้างก็ประกบข้อมือมันอีกคนกระแทกกับเข่า ปืนหล่นลงพื้น การต่อสู้ด้วยมือเปล่าจึงเริ่มขึ้น แอชลีย์ออกทั้งหมัดและเท้าประเคนเข้าใส่ พวกมันโต้ตอบกลับมาแต่ก็พลาด การต่อสู้สองรุมหนึ่งดำเนินไปอย่างดุเดือด เวลาผ่านไปไม่นานพวกมันคนหนึ่งก็ถูกเท้าใหญ่เตะตวัดไปที่ปลายคางล้มลง
ขณะที่การต่อสู้ยังดำเนินไปเรื่อยๆ มีนามองมาแต่ไกลเห็นแขกไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่บอกก็รีบวิ่งมาดู เมื่อเห็นคนนอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้น มือบางก็ยกขึ้นทาบอกอย่างตกใจ แอชลีย์กระแทกหมัดที่ใบหน้าคนร้ายจนเซถลามาชนร่างเธอ
“ว้าย!” หญิงสาวร้องเสียงหลง พอเห็นหน้าคนร้ายชัดขึ้น ดวงตาคมโตก็เบิกกว้างแล้ววิ่งเข้าไปกอดเขาแน่น แอชลีย์แปลกใจแต่ก็โอบเอวบางไว้ เปิดโอกาสให้คนร้ายพากันพยุงตัวหนีหายไปในความมืด แอชลีย์เห็นคนร้ายกำลังจะหนีก็แกะมือเธอออกเพื่อจะตามไป แต่หญิงสาวก็กอดไว้แน่น อกอวบอิ่มเบียดชิดกับแผ่นอกหนา ทำเอาแอชลีย์เลือดลมวิ่งพล่านผิดปกติ
“จะมาหลงเสน่ห์อะไรกันตอนนี้คุณ ปล่อยก่อน ผมจะตามไปจับตัวพวกมัน” แอชลีย์มองเข้าไปในไร่องุ่น เห็นหลังคนร้ายอยู่ไวๆ แต่ก็ตามไปไม่ได้
“ฉันกลัวจังเลยคุณ กอดฉันหน่อยสิคะ”
คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงอย่างแปลกใจกับปฏิกิริยาของคนในอ้อมแขน เมื่อเวลาผ่านไปนานพอที่จะให้การหนีของคนสองคนพ้นจากไร่ มีนาก็คลายอ้อมแขนออกจากร่างหนาบึกบึนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณรู้จักสองคนนั้นรึไง ถึงกอดผมเสียแน่นเพื่อให้พวกมันหนี” เขาถามและไม่ยอมปล่อยเธอเป็นอิสระ
“ก็ฉันตกใจนี่คะ” เธอบอกหน้าตายจนแอชลีย์เข่นเขี้ยวที่ถูกตบตา ริมฝีปากหนาได้รูปกระตุกยิ้ม ร่างกายและปลายประสาทบางส่วนตื่นตัวอย่างบังคับไม่ได้
“ตกใจทำไมหน้าระรื่น”
“จะให้ร้องไห้หรือไงล่ะ” เธอตอบกลับไปหน้าตึงแล้วเบี่ยงตัวออกห่าง
“ไม่ขนาดนั้นก็ได้ แต่เล่นให้สมบทบาทกว่านี้หน่อย พวกมันเป็นใคร” แอชลีย์ถามหน้าเครียดเพราะมั่นใจว่าพวกมันมีจุดประสงค์เดียวคือฆ่าเขา
“คงเป็นพวกนักเลงกระจอกแถวนี้มั้งคะ”
“นักเลงกระจอกกับลูกน้องเจ้าพ่อ ฝีมือมันเทียบกันไม่ได้หรอกนะคุณนางแบบ สองคนเมื่อกี้นักฆ่ามืออาชีพชัดๆ
“เก่งนักก็สืบเองสิ ฉันแค่มาดูว่ายังอยู่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวนะคะ” ร่างระหงหมุนตัวเตรียมจะออกจากห้อง แต่ความจริงยังไม่กระจ่างเขาก็ปล่อยเธอไปไม่ได้เช่นกัน มือหนากระตุกมือเธอเบาๆ หญิงสาวก็ลอยมาปะทะอก
“จะทำอะไรของคุณ ปล่อยฉันนะ” มีนาบอกเสียงเขียวและดิ้นออกจากวงแขนเขา
“ตัวอยู่ดี แต่หัวใจยับยู่ยี่ชอบกลครับ”
“หัวใจแย่ก็แค่กลัดหนอง คงไม่ถึงตาย แต่ถ้าไม่ปล่อยฉัน คุณอาจไม่มีสิทธิ์รอดไปจากที่นี่” เธอพยายามแกะมือเขาออกจากเอวคอดที่ไร้สิ่งห่อหุ้ม ลำแขนสีน้ำตาลแข็งแกร่งเหมือนถ่านร้อนที่นาบลงบนเนื้อนวล
“ผมชอบทั้งเสี่ยงและเสียวเสียด้วยสิ”
มีนาหน้าแดงซ่านกับคำพูดกำกวมและเต็มไปด้วยความนัย ดวงตาคมโตมองไปที่บ้านหลังใหญ่เห็นบิดาออกมายืนมองหา แอชลีย์มองตามแล้วพาเธอขยับไปชิดผนังข้างขอบหน้าต่าง
“จะชอบอะไรมันก็เรื่องของคุณ แต่ตอนนี้คุณต้องปล่อยฉัน ไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกันแน่” เธอขู่พลางออกแรงดิ้นเพื่อให้หลุดจากวงแขนแกร่งดุจปลอกเหล็กกล้า แอชลีย์หัวเราะในลำคอ รับรู้ความนุ่มหยุ่นของเนื้อสาวจนร้อนผ่าวไปทั้งตัวแล้วตอนนี้
“เบื่อทำรีสอร์ตเมื่อไหร่บอกผมนะ” แอชลีย์ก้มลงไปบอกชิดใบหู พร้อมกับสูดความหอมของเรือนผมเข้าจนเต็มปอด สายตาคมกริบโลมเลียผิวแก้มนวล ก่อนจะไปหยุดที่เรียวปากรูปกระจับนุ่มสีชมพูระเรื่อ เขามองอย่างเผลอไผลและคิดถึงภาพที่ริมฝีปากเขาเคลื่อนไหวด้วยจูบและโลมลูบด้วยปลายลิ้น ความหวานจะซ่านไปทุกอณูในหรือเปล่านะ แอชลีย์ถามตัวเองด้วยความปรารถนาที่เพิ่มพูนขึ้น เมื่อเห็นเขาเงียบไปเธอก็ช้อนตาขึ้นมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ใบหน้าคมสันโน้มลงมาใกล้ มือบางจึงดันใบหน้านั้นออกห่างแล้วมองเขาอย่างโกรธกรุ่น
“ทำไมคะ คุณจะรับเลี้ยงฉันหรือไง”
“ถ้าคุณยอม” เขาต่ออย่างไม่ต้องคิด
****
