บท
ตั้งค่า

6. พระนางของเรื่อง

ถิงหลันมองภาพชาวบ้านเดินมุ่งหน้าตามกันไปก็นึกสงสาร พร้อมกับหวนนึกถึงความเป็นอยู่ของตนในจวนสกุลหว่าง

“ข้าหลงคิดว่าตนเองมีชีวิตที่ลำบากมาก ถูกจับขัง ถูกทำร้ายมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ท่านย่าเสีย ทว่าบนความทุกข์นั้นข้าก็ยังมีที่ซุกหัวนอน มีอาหารมีน้ำให้ดื่ม ต่างจากคนกลุ่มนี้ หากให้เทียบกันความทุกข์ที่ข้าเคยมีมันกลับน้อยนัก” นางพึมพำมองผู้คนที่กำลังเดินผ่านรถม้าไป บางคนผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เห็นแล้วช่างน่าเวทนาเหลือเกิน ภัยแล้งนี่มันร้ายกาจเสียจริง

“ยังมองไม่พอหรือ ปิดม่านลง” เสียงดุดังขึ้นมาเรียกสติ ผู้ที่อยู่บนรถม้าจึงค้อนขวับให้เขาไปหนึ่งที ก่อนจะปิดม่านลงตามที่เขาบอก ทว่านางกลับข้ามมานั่งอีกฝั่งแล้วเปิดทางนี้แทน นางจึงได้เห็นสภาพของแม่น้ำที่แห้งขอดจนเหลือเพียงก้อนหิน

“โอโห...แล้งขนาดนี้เชียว รถม้าหยุดก่อนได้หรือไม่” นางรีบลุกออกมาเปิดม่านเอ่ยกับคนบังคับรถม้า เมื่อมันหยุดลงร่างเล็กก็รีบลงมา แล้วมุ่งหน้ามายังเส้นทางของแม่น้ำที่แห้งขอด นางยืนหันซ้ายแลขวาใจกลางความเวิ้งว้างของอดีตแม่น้ำสายหลักของเมือง ก่อนที่แขนเล็กจะถูกแรงรั้งจากว่าที่สามีจนเซเข้าหาแผงอกแกร่ง พร้อมกับใบหน้าเหยเกเพราะอีกฝ่ายดันคว้าข้างที่นางเจ็บ

“อ๊ะ! คนใจร้ายเจ็บนะ” ต่อว่าเขาเสียงหลง

“ใครใช้ให้เจ้าลงมา” หยวนเซียวส่งเสียงดุทันที เพราะยามนี้นางทำให้กลุ่มคนอพยพเกิดความสนใจมาก

“ข้าแค่อยากลงมาดูให้เห็นกับตา” ตอบเขาเสียงอ่อย

“เห็นแล้วช่วยได้หรือ กลับขึ้นรถม้าประเดี๋ยวนี้” อีกฝ่ายย้อนพร้อมกับเปลี่ยนมารั้งแขนอีกข้างแทน ทว่าคนตัวเล็กกลับขืนตัวไว้

“ช้าก่อน ข้าขออยู่ตรงนี้สักครู่” นางเอ่ยพร้อมกับแกะแขนเขาออก ซึ่งมันก็ยากพอสมควร เพราะว่าที่สามีกำแขนนางแน่น ทำให้ถิงหลันต้องออดอ้อนอีก “นะท่านโหวข้าขอเวลานิดเดียว”

ถิงหลันไม่เพียงแต่เอ่ย นางยังใช้มือข้างที่เจ็บยกขึ้นมาลูบอกแกร่งเพื่อแกล้งคนที่ทำหน้าถมึงทึงใส่อย่างชอบใจ โจวเป่ยโหวจึงรีบคลายมือออก พร้อมกับถอยมายืนมองนางด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

นำพาใจดวงน้อยวูบไหวเป็นอย่างมาก ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหันกลับมายังจุดเดิมก่อนหน้าจะถูกรั้งให้เดินตาม นางยอบกายนั่งลงแล้วงัดเอาก้อนหินขึ้นมากองรวมกันไว้ โดยมีท่านโหวและคนสนิทเขาอีกสองคนยืนมองการกระทำนางด้วยความสงสัย

“ด้านล่างไม่ได้แห้งสนิท ดินยังคงชุ่มอยู่ แสดงว่ายังมีฝนตกลงมาบ้าง ทว่ามันคงน้อยมากพื้นดินด้านบนถึงยังคงแห้งผาดแบบนี้ ในหลุมในบ่อก็ยังไม่มีน้ำขัง ถือว่าเข้าขั้นวิกฤตจริง ๆ นั่นแหละ ดูท่า ระยะเวลาที่ฝนตกน่าจะห่างกันมาก พื้นดินมันถึงอุ้มน้ำไม่ได้เลย นี่คงเป็นวัฏจักรภัยแล้งอย่างสมบูรณ์สินะ หากไม่ได้ฝนที่กระหน่ำเทลงมาหลาย ๆ ครั้ง สี่ห้าเมืองทั่วทั้งแถบนี้ก็ไม่มีทางขจัดปัญหาไปได้แน่นอน” พึมพำแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องนภาเบื้องบน นางหันมองซ้ายที ขวาทีเพื่อดูก้อนเมฆ ก่อนที่คิ้วสวยจะผูกกันเป็นปมเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสามมองตนอยู่ เมื่อนึกขึ้นได้ก็ยิ้มแหยใส่พวกเขา

“เอ่อ…เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ เราไปกันเถอะ” สิ้นคำนางก็เดินนำพวกเขากลับไปยังรถม้า ซึ่งยามนี้กลุ่มคนอพยพจากไปหมดแล้ว เมื่อนางขึ้นรถม้าได้ขบวนก็ออกเดินทางต่อทันที เพราะท่านโหวไม่อยากเสียเวลาอีก ยิ่งได้มาเห็นกับตาเขาก็ยิ่งร้อนใจ อยากแก้ปัญหานี้แต่โดยไว หากมิใช่เพราะมีราชโองการให้แต่งงาน เขาคงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางแวะไปรับเจ้าสาวมาด้วยเช่นนี้ ดีที่ให้สหายนำเสบียงล่วงหน้ามาก่อน มิเช่นนั้นคงต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก

เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูเข้าเมือง ภาพผู้ความวุ่นวายและความยากแค้นก็ยิ่งปรากฏให้เห็น บางคนถึงกับยื่นมือเข้ามาขออาหารในรถม้า ทำเอาผู้ที่นั่งครุ่นคิดอยู่ถึงกับขวัญผวาตกใจ ดีที่มีทหารเข้ามาช่วยกันให้หลังจากนั้น ความโกลาหลจึงได้เบาบางลง

เมื่อเสียงเอะอะด้านนอกเงียบลง คนบนรถม้าจึงแง้มม่านออกดูด้านนอก เมื่อเห็นว่าท่านโหวยืนพูดคุยกับใครบางคนอยู่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก “พี่จื่อโม่ คนผู้นั้นใครหรือ” เอ่ยถามองครักษ์หนุ่มที่ยังคงอยู่บนหลังม้า เพื่อคอยระวังภัยให้ว่าที่ฮูหยิน

“สหายท่านโหวขอรับ เป็นรองเจ้ากรมโยธา”

“รองเจ้ากรมโยธา มีแผนจะสร้างทำนบที่นี่หรือ” ยังคงเอ่ยถามอีก ทว่าประโยคของนางนั้นทำให้องครักษ์หนุ่มต้องขมวดคิ้วทันที

“คุณหนูสี่ทราบเรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ”

“ทำไม เป็นความลับหรือ?” นางย่นคิ้วเข้าหากันพร้อมกับมองเขา

“ไม่ถึงขั้นนั้นขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยนึกไม่ถึงว่าท่านจะรู้เรื่องนี้ด้วย ปกติสตรีไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องบ้านเมือง” องครักษ์หนุ่มตอบตามตรง

ถิงหลันยิ้มเจื่อนทันที ก่อนจะรีบหุบเมื่อเห็นท่านโหวกำลังเดินตรงมาที่รถม้า มิหนำซ้ำยังทำหน้าถมึงทึงใส่นางอีก แต่ก่อนที่เขาจะมาถึงรถม้า ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำให้เขาหยุดเท้าในทันที

ถิงหลันมองไปยังที่มาของเสียง นางกะพริบตาถี่เหมือนไม่ค่อยเชื่อสายตาตน “นางฟ้าชัด ๆ” พึมพำออกมาเหมือนคนละเมอ มองสตรีที่เดินเข้ามาพูดคุยกับท่านโหวอย่างสนิทสนม และเขาก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ทำเอาใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย

“พี่จื่อโม่ นางคือใครหรือ” เอ่ยถามองครักษ์หนุ่มอีกหน ภายในใจวูบไหวจนต้องยกมือขึ้นมาทาบอกของตนไว้

“คุณหนูจางจินเซี่ย บุตรสาวเจ้ากรมโยธาขอรับ”

“จางจินเซี่ย บุตรสาวเจ้ากรมโยธา งั้นสตรีผู้นี้ก็เป็นนางเอกของเรื่องน่ะสิ” พึมพำแผ่วเบา ดวงตาสวยหม่นลงทันที ทว่านางยังมีสิ่งที่ตนสงสัยอยู่ จึงเอ่ยถามองครักษ์หนุ่มอีกรอบ

“ท่านโหวดูสนิทสนมกับนางดีนะ พวกเขารู้จักกันมาก่อนหรือ” เอ่ยถามจื่อโม่ ทว่าผู้ที่ตอบกลับเป็นองครักษ์อีกคน

“ตอนท่านโหวอยู่เมืองหลวง มักจะถูกเชิญไปงานเลี้ยงบ่อยครั้ง เป็นปกติที่ต้องพบเจอกับบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ หนึ่งในนั้นก็คือบุตรสาวเจ้ากรมโยธา และทั้งคู่ก็พบเจอกันบ่อยมาก” องครักษ์นามว่าจางเฉินเอ่ยจบก็บังคับม้าเลี่ยงไปอีกทาง ทิ้งให้คนเอ่ยถามนั่งนิ่งกับคำตอบที่ทำให้ใจดวงน้อยยิ่งเกิดความสับสน

“เอ่อ…คุณหนูสี่อย่าใส่ใจคำพูดของจางเฉินเลยนะขอรับ เขาก็เป็นเช่นนี้ ชอบพูดจาเกินจริง ท่านโหวกับ”

“ช่างเถอะ ข้าก็แค่ถาม เขาจะสนิทชิดเชื้อกับใครก็ไม่เกี่ยวกับข้าหรอก” เอ่ยแล้วก็ปิดม่านลง พร้อมกับใจที่มันห่อเหี่ยวเหลือเกิน

“ทำไมเรารู้สึกแบบนี้ล่ะ ไม่น่ารักเลยนะถิงถิง นั่นพระนางของเรื่องนะ เขาก็ต้องคู่กันอยู่แล้วไหม เจ้ามันก็แค่ตัวประกอบในเรื่อง อีกไม่นานก็ต้องหย่าให้เขาได้ครองคู่กัน เจ้าไม่มีสิทธิ์คิดไปไกลเข้าใจหรือไม่” ถิงหลันพึมพำเตือนสติตนเองพร้อมกับยกมือทาบอก นางไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าใจตนคิดเช่นใดกับท่านโหว

ทว่ามันไม่อาจเป็นไปได้แน่นอน เพราะทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว นึกมาถึงตรงนี้ถิงหลันก็นั่งนิ่ง กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกไป และนางก็ไม่กล้าที่จะเปิดม่านออกมาดูว่าท่านโหวตามมาด้วยหรือไม่ เมื่อมาถึงจวนก็ไม่ปรากฏร่างของเขาอย่างที่คิด

‘เจ้าคาดหวังอะไรกันถิงถิง’ ตำหนิตนเองในใจ ก่อนจะเดินตามองครักษ์หนุ่มเข้าจวนไปอย่างเงียบเชียบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel