5. ข้าคือตัวประกอบที่ต้องหย่า
รุ่งสางของวันใหม่ ถิงหลันตื่นก่อนผู้ที่นอนกอดตน นางขยับถอยออกแผ่วเบา เพื่อไม่ให้ตนเองรบกวนอีกฝ่าย ยามนี้เองที่นางได้ลอบสังเกตใบหน้าเขาอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าใบหน้านี้หล่อเหลาคมคายเพียงใด หากไม่มีรอยแผลปิดอยู่คงน่าชื่นชมกว่านี้
โจวเป่ยโหวนับว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง เขามีจมูกเรียวโด่งเป็นสัน เปลือกตาเรียวประดุจเหยี่ยว ริมฝีปากทรงกระจับสีออกชมพูเรื่อ น่ามองจนนางเผลอเพ่งเล็งมันอยู่นาน พร้อมกับนึกในใจไปด้วย
‘สมกับเป็นพระเอกของเรื่อง หล่อบาดใจจริง ๆ’ นางลอบยิ้มกับใบหน้าของอีกฝ่าย ทว่าไม่นานรอยยิ้มนี้ก็หุบลง เมื่อนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ นั่นคือความเป็นจริงที่ว่า นางอยู่ในโลกนิยาย
นิยายที่ถูกสร้างขึ้นมากว่าสิบปีแล้ว ทว่ามันยังไม่จบ เพราะคนเขียนดันประสบอุบัติเหตุตายเสียก่อน ทำให้ทุกอย่างมันค้างคาอยู่เช่นนั้น แม้ว่าใครหลายคนจะลองเขียนมัน ก็ไม่อาจนำพาตัวละครไปถึงตอนจบได้ แม้กระทั่งผู้ที่อยู่ในร่างหว่างถิงหลันก็ยังทำไม่สำเร็จ
จ้าวถิงถิงคืออีกคนที่อยากทดสอบเขียนนิยายเรื่องนี้ต่อ ทว่าเขียนไปได้เพียงแค่สองบท นางก็เกิดหัวใจวายตายต่อหน้าคอม มาตื่นอีกทีก็อยู่ในร่างของหว่างถิงหลันในตอนเจ็ดขวบ และใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้มากว่าสิบปีแล้ว ที่สำคัญตัวละครนี้เป็นเพียงแค่ตัวประกอบ ในหน้ากระดาษเอ่ยถึงแค่ช่วงพี่สาวแต่งงานเท่านั้น
อันที่จริงหว่างถิงหลันควรต้องแต่งกับพ่อค้าในเมืองหลังจากพี่สาวแต่งกับท่านโหวได้หนึ่งเดือน ทว่าอยู่ดีดีทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป เพราะพี่สาวหนีงานแต่ง จึงกลายเป็นนางที่ต้องรับหน้าที่แทนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นโจวเป่ยโหวก็ดันเป็นตัวเอกของเรื่อง และอีกไม่นานเขาจะพบรักกับนางเอก ที่เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ สุดท้ายเขาจะหย่ากับภรรยาที่พึ่งแต่งเข้ามาได้ไม่นาน ซึ่งทุกอย่างมันก็ง่ายดายนัก เพราะพี่สาวของหว่างถิงหลันก็ไม่ได้รักใคร่ชอบพอท่านโหวเหมือนกัน
ทว่าบทบาทในยามนี้มันไม่ใช่อย่างที่เคยอ่านมา เพราะผู้ที่แต่งกับท่านโหวคือหว่างถิงหลัน คนจากยุคปัจจุบันที่เกิดใหม่ในร่างนี้ นางควรปล่อยทุกอย่างให้ดำเนินไปตามบทที่มีอยู่ก่อนหน้านี้หรือไม่
แต่ถ้าทำเช่นนั้น อนาคตภายหน้าตนจะเป็นเช่นไร
สตรียุคนี้ หากแต่งงานแล้วบ้านเดิมไม่มีทางรับกลับแน่ หากเป็นพี่สาวนางก็ว่าไปอย่าง ทว่าตนเป็นบุตรที่บิดาไม่ต้องการ ท่านย่าที่เคยดูแลก็จากไปแล้ว ส่วนมารดานั้นไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่ถิงถิงมาอยู่ในร่างนี้นางก็ไม่เคยเห็น เพราะผู้เป็นแม่สิ้นใจไปตั้งแต่เจ้าของร่างได้ห้าขวบ ในยามนี้หญิงสาวจึงไม่เหลือที่พึ่งแล้วจริง ๆ
ถิงหลันนึกไปเรื่อย จนไม่ทันสังเกตว่าเปลือกตาของอีกฝ่ายได้เปิดขึ้นมาแล้ว และเขาก็กำลังมองนางอยู่ ทว่าคนตัวเล็กในอ้อมกอดยังคงเพ่งอยู่ที่ลำคอของอีกฝ่าย กระทั่งบางสิ่งมันเคลื่อนตัวขึ้นลง ทำให้นางต้องรีบเงยหน้าขึ้นมามองเขาในทันที
“ตื่นแล้วก็ลุก ไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะปวดแขนบ้างหรือ” ตำหนิไม่จริงจัง ถิงหลันจึงรีบดีดตัวลุกนั่งตามที่เขาบอก
“ขะ…ขออภัยเจ้าค่ะ” เอ่ยเสียงติดขัดกับเขา ก่อนจะรีบหันหนีไปอีกทาง เพราะยามนี้คนตัวโตลุกขึ้นมานั่งข้างกันแล้ว พร้อมกับเหยียดแขนอันเมื่อยขบของตนกางออก
“ลงไปล้างหน้าล้างตาเสีย คนของข้าคงเตรียมอาหารไว้แล้ว กินเสร็จจะได้ออกเดินทาง” สิ้นคำเขาก็ลุกเดินออกไปเหมือนไม่ไยดี ท่าทางเย็นชานี้ถิงหลันชักจะเริ่มชินกับมันบ้างแล้ว มันเป็นปกติของคนที่ไม่ได้พึงใจกัน หากเขาได้พบกับนางเอกคงต่างไปจากนี้เป็นแน่
“เห้อ! คิดอะไรของเราเนี่ยะ ต่อให้วันหน้าเขาหย่ากับเรา เราก็ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้นี่ ขอแค่ไม่ต้องกลับไปอยู่ที่จวนหว่างนั้นอีกก็พอแล้วไม่ใช่หรือ” เตือนสติตนเองให้จดจำ
ก่อนจะลงจากรถม้าไปจัดการธุระของตน ซึ่งสายตาของบรรดาองครักษ์ต่างก็เพ่งเล็งมาที่นางคนเดียว มันก็ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะมองเช่นนี้ คาดว่าท่านโหวคงเล่าเรื่องราวให้ฟังแล้วกระมังถึงสาเหตุที่เขาไม่สวมหน้ากากไว้เช่นเคย ทว่าในเมื่อนางรู้แล้วว่าแผลบนหน้าปลอม เหตุใดเขาไม่ยอมเอามันออก หรือคิดจะหลอกใครอีกกระนั้นหรือ แต่ช่างมันเถอะ ไม่เกี่ยวกับนางสักนิด
ด้านหยวนเซียวเขามองตามร่างเล็กทุกฝีก้าว “จ้าวเหลียน เจ้ากลับไปสืบประวัตินางอย่างละเอียด แต่ละวันหว่างถิงหลันทำอันใดบ้าง ปกติอยู่ในจวนมีใครรังแกนางหรือนางรังแกใครหรือไม่ สืบมาให้ละเอียด” เขาเน้นย้ำเป็นที่สุด คนสนิทจึงรีบไปทำตามคำสั่ง
ถิงหลันจึงมองตามบุรุษที่กำลังควบม้าออกไป “คงส่งคนไปสืบประวัติเราสินะ หึ! คงสงสัยเรื่องที่เรารู้ว่าเขาใช้แผลปลอมมาหลอกลวงคนสิท่า เห้อ! ไม่น่าปากพล่อยเลยเรา ลอยไปตามน้ำก็ดีอยู่แล้ว ทำตัวอวดฉลาดจนต้องตกเป็นผู้สงสัยเสียได้” ตำหนิตนเองอยู่ข้างลำธาร พร้อมกับเก็บก้อนหินโยนลงน้ำเพื่อขจัดความวุ่นวายในใจ จนไม่รู้ว่าร่างสูงของคนที่ตนเอ่ยถึงเดินมาหยุดด้านหลังแล้ว
“คิดจะให้คนอื่นรออีกนานแค่ไหน” ถ้อยคำตำหนิดังมาอีกหน ร่างเล็กจึงรีบขยับลุกขึ้นก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งส่งให้เขา
“สามี ข้าหิวข้าว” ออดอ้อนทันที พร้อมกับกะพริบตาถี่น่าตี หยวนเซียวถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ เขานึกไม่ถึงว่าพอเช้ามาท่าทางนางก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว เมื่อวานตอนทำแผลยังทำตัวเหมือนลูกแมวตกน้ำอยู่เลย ทว่ายามนี้กลับเหมือนแมวน้อยจอมดื้อซนเสียอย่างนั้น
“อาหารอยู่บนรถม้า รีบขึ้นไปกิน” เอ่ยจบเขาก็หมุนตัวหมายจะเดินหนีไป ทว่าแขนแกร่งกลับถูกกอดรั้งไว้พร้อมกับร่างเล็กที่ก้าวเท้ามายืนประกบ และยังยิ้มหน้าเป็นใส่เขาด้วย
“เดินสิ ท่านจะหยุดทำไม” นางยังเตือนเขา ก่อนจะดึงแขนอีกฝ่ายให้เดินตามมาจนกระทั่งถึงรถม้า ร่างเล็กก็ขึ้นไปและไม่แยแสเขาอีก ทำเอาท่านโหวถึงกับมึนงง และไม่ใช่แค่เขาหรอก บรรดาองครักษ์ต่างก็มองตามด้วยความไม่เข้าใจ
“ออกเดินทางได้” หยวนเซียวเดินมาขึ้นม้าของตนได้ก็ออกคำสั่งทันที แม้ในใจยังคงมึนงงกับการกระทำของว่าที่ฮูหยินก็ตาม
และตลอดการเดินทางทั้งสิบวัน หว่างถิงหลันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี บางทีนางก็พูดคุยหยอกล้อกับคนสนิทเขาจนน่ารำคาญ ช่างไม่มีกิริยาผู้ดีของสตรีเอาเสียเลย กระทั่งเข้าเขตดินแดนที่ไม่มีใครอยากมา
ถิงหลันมองดูความแห้งแล้งที่ปรากฏให้เห็นผ่านกิ่งไม้ใบหญ้าและพื้นดินที่แตกระแหง บางครายามมีลมพัดมาทุกสิ่งอย่างก็ลอยฟุ้งขึ้นจนนางต้องรีบปิดม่านลง และระยะทางมันก็ยาวนับร้อยลี้
“คนเขียนนี่ก็เหลือเกิน เอาแค่พอประมาณไม่ได้หรือไง แล้งขนาดนี้จะให้พระเอกแก้ไขแบบไหนกัน” คนในรถม้าพึมพำเพราะอดสงสารตัวละครหลักของเรื่องไม่ได้ เมื่อเห็นสภาพด้านนอกที่มันเหมือนดินแดนรกร้างเสียมากกว่า แทบไม่เห็นสิ่งมีชีวิตในแถบนี้เลย ถ้าไม่มีต้นไม้แห้งเหี่ยวยืนต้นอยู่ คงไม่ต่างจากทะเลทรายกระมัง
“ในผลงานของนักเขียน เนื้อหามันหยุดลงตรงที่ท่านโหวหย่าขาดกับคุณหนูตระกูลหว่าง หลังจากนั้นเขาก็สานสัมพันธ์กับนางเอกของเรื่องต่อ ส่วนการแก้ไขปัญหาภัยแล้งนั้นยังไม่ลุล่วง ไม่รู้เขาจะจัดการกับมันยังไง เห้อ! เห็นแค่นี้ข้ายังเหนื่อยแทนเลยโจวเป่ยโหว”
ถิงหลันพึมพำอยู่ในรถม้าลำพัง ก่อนที่ความคิดจะหยุดลงเมื่อรถม้าที่เคลื่อนไปดีดีเกิดหยุดชะงัก นางจึงรีบเปิดม่านออกไปดู จึงเห็นว่ามีผู้คนมากมายกำลังเดินสวนกับกลุ่มพวกตนเพื่ออพยพไปอยู่ที่อื่น สภาพร่างกายของพวกเขาดูมอมแมมเป็นอย่างมาก อาภรณ์ที่สวมใส่ถูกฝุ่นที่ปลิวอยู่ตามลมเกาะจนกลายเป็นสีดำแดงผสมกันไป ดูแล้วก็ไม่ต่างจากขอทานตามถนนเลย
