4. โกหกไม่เนียน
หยวนเซียวจึงใช้สายตาคมกริบมองว่าที่ฮูหยินตน ทว่าสิ่งที่เขาเห็นคือคนตัวเล็กหาได้มีท่าทีตื่นกลัวไม่ นางยังคงยิ้มแป้นเหมือนเด็กไม่มีผิด ท้ายที่สุดก็เป็นเขาเองที่ต้องยอมแพ้ พ่นล้มหายใจเหนื่อยหน่ายออกมา ก่อนจะจับหน้ากากตนที่ค้างอยู่บนแขนนางโยนทิ้งลงพื้น เพราะยามนี้ตนใส่ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
“เจ้าไม่คิดจะกลัวบาดแผลบนหน้าข้าเลยหรือ” เอ่ยจบก็ก้มหน้าลงพันแผลให้นางต่อ ทว่าคำตอบที่ได้กลับทำให้มือเรียวต้องชะงัก
“กลัวรอยแผลปลอมนี่น่ะหรือ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อยจะได้เชื่ออะไรง่ายถึงเพียงนั้น” เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผู้ที่เงยหน้าขึ้นมองตน และยามนี้เขาก็ผละมือออกจากผ้าที่กำลังพันให้นาง เพื่อมาจับรอยแผลของตน เพราะเข้าใจว่ามันอาจมีตรงไหนทำให้นางสังเกตเห็น จนรู้ว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นการสร้างขึ้นมาอย่างที่นางว่า
ถิงหลันเผยยิ้มเมื่อเห็นท่านโหวเกิดอาการประหม่าจนแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน นางขยับเข้าใกล้เขาจนใบหน้าห่างกันแค่คืบ
“ตรงนี้ตกเสก็ดแล้วเจ้าค่ะ” นิ้วขาวจิ้มลงที่แก้มสาก ซึ่งเป็นจุดที่นางลูบวนอยู่หลายรอบในคราแรก จึงสัมผัสได้ว่ามันมิใช่บาดแผล
ทว่าการที่นางทำเช่นนี้กลับทำให้อีกฝ่ายนิ่งงันไป เพราะทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก ทำให้เขาต้องหันเหสายตาหนี และมันดันไปหยุดอยู่ที่ซับในสีชมพูซึ่งมันหย่อนลงมาตามการโน้มตัวของนาง
ถิงหลันขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน นางจึงมองตามสายตาเขา ก่อนจะรีบขยับพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดซับในตนอย่างร้อนรน ทว่าแรงดึงรั้งอย่างรีบร้อนกลับทำให้ผ้ามันร่นเข้าหากัน ทำให้เต้าขาวเผยออกมาจนเกือบจะเห็นเม็ดทับทิมที่ซุกซ่อนอยู่
“คนชีกอ สัปดน” ตำหนิเขาอย่างลืมตัว พร้อมกับรั้งเอาชายเสื้อตนขึ้น ทว่าแขนข้างเดียวมันทำอะไรไม่ถนัดเอาเสียเลย สุดท้ายยิ่งขยับ ซับในมันก็ยิ่งไม่อยู่ทรง ซ้ายร่น ขวาร่น จนว่าที่สามีแทบจะเห็นความงามที่ถูกปิดบังนี้หมดแล้ว ช่างน่าอายเสียจริง
หยวนเซียวมองการกระทำคนตรงหน้าแล้วลอบยิ้มมุมปาก นึกไม่ถึงว่าคนที่พูดจาเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดจะมีอาการประหม่าเป็นด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางดูเก่งกล้าเกินสตรีทั่วไป เข้าใกล้เขาก็ไม่มีท่าทีตื่นกลัวเลยสักนิด ทว่าเมื่อครู่กลับลนลานจนเห็นได้ชัดเจน ช่างไม่สมกับความฉลาดเฉลียวที่แสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนเขาไปรับเจ้าสาวเลย
ท่านโหวยังคงพันผ้าให้นางต่อจนกระทั่งเสร็จ ก่อนจะรั้งเอาชายเสื้อขึ้นมาสวมให้นางตามเดิม ทว่าคนที่เคยพูดไม่หยุดปากกลับนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะเอ่ยขอบคุณเขาสักนิด
“เป็นใบ้ไปแล้วหรือ” เอ่ยถามเสียงเรียบ เมื่อเห็นนางยังนิ่ง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” กล่าวโดยไม่ยอมเงยหน้ามองเขา
หยวนเซียวยกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเปิดม่านออกไปสั่งให้คนของตนนำอาหารมาส่ง ไม่นานจื่อโม่ก็เดินเข้ามา เขายื่นห่อข้าวให้ผู้เป็นนาย ทว่ามือนั้นกลับต้องชะงักเพราะท่านโหวไม่ได้ใส่หน้ากากแล้ว เขายืนกะพริบตามองอย่างไม่เข้าใจ สหายอีกคนก็ทำไม่ต่างกัน
“เหตุใดท่านโหวถอดหน้ากาก” ตงฟานกระซิบถาม
“ข้าก็ไม่รู้” จื่อโม่เอียงหน้าตอบแผ่วเบา ก่อนที่ทั้งคู่จะตีหน้าเรียบเฉย เมื่อผู้เป็นนายส่งสายตาคมดุมาให้
“เสร็จธุระแล้วก็ไปสิ แล้วก็ไม่ต้องรอ ข้าจะนอนบนรถม้า” คำสั่งของท่านโหวไม่เพียงแต่องครักษ์ที่ตาโต ผู้ที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็เงยขึ้นมามองเขาด้วยท่าทางตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
ก่อนจะหันหนีเมื่อเขาปิดม่านลง และกำลังมองมาที่นาง
“ตกใจทำไม ถึงอย่างไรข้ากับเจ้าก็ต้องนอนด้วยกัน อีกอย่างคิดว่าตนเองจะหลับลงหรือหากต้องนอนท่ามกลางเสียงสัตว์ป่าเช่นนี้”
ถ้อยคำที่ท่านโหวเอ่ยล้วนแต่จริงทั้งนั้น อีกไม่กี่วันนางและเขาต้องเข้าพิธีกันแล้ว อย่างไรเรื่องที่จะต้องเกิดมันก็ต้องเกิดไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ที่สำคัญหากให้นางนอนคนเดียวบนรถม้า ใจคงไม่ค่อยสงบสุขนัก เพราะเสียงโหยหวนของหมาป่ามันดังมาให้ได้ยินอยู่ตลอด
เมื่อไม่อาจโต้เถียงได้ถิงหลันก็จำต้องสงบเสงี่ยม นั่งทานอาหารจนกระทั่งแล้วเสร็จ ท่านโหวก็เปิดม่านออกไปสั่งให้คนของตนเอาผ้ามาให้ จากนั้นเขาก็ปูผ้าบนพื้นแล้วก็เอนตัวลงนอนใช้แขนหนุนหัว
“ดับไฟแล้วลงมานอน” เอ่ยบอกผู้ที่นั่งนิ่งไม่ยอมขยับ
“ไม่ดับได้หรือไม่” นางต่อรองกับเขาทันที
“ตามใจ” เอ่ยแล้วหยวนเซียวก็นอนตะแคงหันหลังให้ เพราะรู้ดีว่านางคงกระอักกระอ่วนใจที่ต้องนอนกับคนแปลกหน้า แม้ว่าเขาจะเป็นสามีนางในอีกไม่กี่วันนี้ก็เถอะ
ถิงหลันมองแผ่นหลังอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็จำต้องเคลื่อนตัวลงไปนอนกับเขา นางนอนหงายมองหลังคารถม้า พร้อมกับฟังเสียงลมเสียงหมาป่าไปด้วย มันช่างวังเวงดียิ่งนัก ทำเอานางถึงกับหลับไม่ลง และเหมือนคนข้างตัวจะรู้จึงหันพลิกตัวมาหา
จากนั้นเขาก็จับหัวนางยกขึ้นสอดแขนตนเข้าไปรอง มืออีกข้างก็รั้งเอวคอดเข้ามาแนบชิด “นอนเสีย วันพรุ่งต้องออกเดินทางแต่เช้า”
ถิงหลันไม่ได้ตื่นตกใจกับการกระทำของเขา นางอุ่นใจเสียด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกเหมือนมีคนกำลังปกป้องตนอยู่ ‘เช่นนั้นคืนนี้ข้าขอยืมอ้อมกอดท่านสักคืนนะ’ นึกในใจ ก่อนที่ร่างเล็กจะขยับตะแคงหันเข้าหาอกแกร่ง นางซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นเหมือนแมวน้อยไม่มีผิด
การกระทำของหว่างถิงหลันนำพาให้โจวเป่ยโหวอดสงสัยไม่ได้ ตั้งแต่พบกันหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีตื่นกลัวเขาเลย ถูกแบกออกมาก็ไม่ได้ต่อต้านอย่างจริงจัง ทั้งที่ต้องแต่งกับคนแก่กว่าเป็นรอบแท้ ๆ ขนาดพี่สาวนางยังแอบหนีหายไปไม่ยอมอยู่ให้เขามารับตัว ทว่าคนในอ้อมกอดกลับทำตรงกันข้ามเสียทุกอย่าง
‘หรือนางหวังตำแหน่งฮูหยินโหวของข้าตั้งแต่แรก ถึงได้ยอมตามมาง่ายเพียงนี้’ หยวนเซียวนึกถึงการกระทำของนางตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะมีหลายอย่างมันชวนให้เขาสงสัย
ตอนที่นางถูกหมาป่าล้อม หากเป็นสตรีทั่วไปคงร้องแหกปากโวยวายไปแล้ว ทว่าหว่างถิงหลันกลับตั้งท่าต่อสู้ราวกับตนเคยเผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายเช่นนี้มาก่อน
ยามพวกเขาไปช่วย นางก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องคร่ำครวญอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งไปกว่านั้นบาดแผลบนแขนก็ถือว่าใหญ่มากสำหรับสตรี หากเป็นผู้อื่นคงฟูมฟายเกรงร่างกายตนจะเกิดแผลเป็น ทว่าหว่างถิงหลันกลับเฉยชาเหมือนไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด ปล่อยให้เขาทำแผลใส่ยาโดยไม่คร่ำครวญสักนิด มิหนำซ้ำนางยังพูดคุยไม่หยุดอีก
มากไปกว่านั้นคือนางรู้ได้อย่างไรว่าบาดแผลบนหน้าเขาคือของปลอมที่ทำขึ้นมา คนสนิทเขานับว่ามีวิชาตบแต่งใบหน้าที่เก่งกาจมาก ถึงกระนั้นก็ยังปิดบังอำพรางสายตาของนางมิได้
โจวเป่ยโหวก้มลงมองผู้ที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดตนอย่างสงสัย เท่าที่เห็นนางก็เป็นเพียงสตรีทั่วไป ทว่าคำพูดคำจามันไม่น่าจะรู้มากเพียงนี้ หากจะว่าไป หญิงสาววัยนี้ควรต้องสงบเสงี่ยมครบองค์ประกอบ สี่จรรยา สามคล้อยตาม อยู่ในการอบรมของครอบครัว
ทว่าหว่างถิงหลันกลับทำตรงกันข้ามเสียทุกอย่าง ไร้มารยาท โต้เถียงกับบิดามารดาและพี่ชาย ไม่สมกับเป็นสตรีเลยสักนิด
‘เจ้าเป็นคนเช่นไร อีกไม่นานข้าต้องได้รู้' เขานึกในใจ ก่อนจะปิดตาลงและหลับไปในที่สุด ทว่าค่ำคืนนี้เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกอบอุ่นนัก ราวกับได้ผ้าห่มผืนหนามาคลุมกายไว้เสียอย่างนั้น
#น้องปากเก่งแต่ขี้อายนะ
