3. ความอยากรู้
ถิงหลันยืนนิ่งเหลือบตามองหมาป่าที่มีมากกว่าห้าตัว พวกมันกำลังกระจายตัวกันโอบล้อมนางไว้ รอการจู่โจมที่อาจจะมีขึ้นในไม่ช้า
“บ้าจริง มาทีละตัวไม่ได้หรือ มาเป็นฝูงเช่นนี้จะรับมือได้อย่างไรกัน” บ่นพึมพำทันทีเมื่อเห็นสัตว์ร้ายกำลังแยกเขี้ยวใส่ตน
นางค่อย ๆ เคลื่อนมือขึ้นมาหยิบปิ่นที่เสียบอยู่บนหัวเพื่อทำเป็นอาวุธ ในใจภาวนาขอให้ใครสักคนมองมาทางนี้ ทว่ามันก็เป็นเรื่องยากเพราะมีรถม้าบดบังอยู่ ครั้นนางส่งเสียงร้อง พวกมันต้องกระโจนเข้าใส่ในทันที และแน่นอนว่าก่อนที่พวกเขาจะวิ่งมาถึง นางคงถูกรุมขย้ำจนสิ้นใจตายไปก่อนกระมัง
‘ท่านโหวช่วยข้าด้วย’ นางภาวนาในใจ พร้อมกับกำปิ่นในมือแน่น เพราะพวกมันตั้งท่าพร้อมจะกระโจนเข้าใส่แล้ว
ตัวที่อยู่ต่อหน้านางกำลังขยับเท้าก้าวถอยหลังแล้วย่อตัวลง ผู้ถูกล่าก็เตรียมพร้อมเช่นกัน และเมื่อมันพุ่งกระโจนเข้ามา นางก็ง้างแขนสุดแรงหมายจะปักปิ่นในมือใส่ลำคอมันเสีย
ทว่าบางสิ่งกลับพุ่งผ่านไปพร้อมกับความรู้สึกแปลบบนต้นแขน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง และร่างของหมาป่าที่ล่วงตกบนพื้นต่อหน้าต่อตา ซึ่งตัวอื่นก็ไม่ต่างกัน
“คุณหนูสี่เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ” จื่อโม่รีบเอ่ยถาม เพราะผู้เป็นนายเขายังนิ่งอยู่ ทำเพียงแค่ยืนมองว่าที่ฮูหยินตนเท่านั้น
“เจ็บ ไม่รู้ใครยิงข้า” ปากอิ่มยื่นออกมาทำท่าจะร้อง ทว่านางก็ยังมองหาคนที่ยิงธนูใส่แขนตนจนโลหิตอาบอาภรณ์
“ใครใช้ให้ยกแขนขึ้นมาบังคมธนู ดีแค่ไหนที่มันแค่เฉียด ถ้ามันปักลงที่แขนเจ้า ป่านนี้หมาป่าคงกระโจนถึงตัวขย้ำคอเจ้าตายไปแล้วกระมัง ไม่สำนึกบุญคุณแล้วยังมาต่อว่าคนที่ช่วยอีก” สิ้นคำท่านโหวก็เดินมารั้งแขนข้างที่ไม่มีโลหิตพาเดินกลับไปยังจุดพัก โดยมีคนสนิทเดินตามอยู่ห่าง ๆ เพราะฟังจากน้ำเสียงแล้ว ไม่ควรเข้าใกล้เลย
เมื่อมาถึงรถม้าเขาก็พานางขึ้นไป เพราะต้องใส่ยาและทำแผลให้ ครั้นจะทำอยู่ด้านล่างมันก็ไม่ควร คนของเขามีแต่ผู้ชาย และจะให้นางทำเองก็ดูเหมือนจะไม่เป็น สุดท้ายเขาเลยต้องขึ้นมาจัดการเอง
“ถอดเสื้อออกจะได้ใส่ยา” เอ่ยบอกเสียงเรียบ ยามนี้เขานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับนาง เพื่อให้ง่ายต่อการทำแผล
“สะ…ใส่เลยไม่ได้หรือ” คนตัวเล็กเอ่ยถามเสียงสั่น จริงอยู่ว่านางต้องแต่งกับเขา และวันหน้าอีกฝ่ายก็ต้องได้เห็นหมด ทว่ามันเร็วเกินไปที่จะเปิดเผยเรือนร่างให้เขาเห็น แม้ว่าด้านในจะมีซับในปิดบังอยู่ก็เถอะ แต่ต้องเปลือยไหล่ให้บุรุษมองมันก็ยังน่าอายอยู่ดี
“อย่าเรื่องมาก อีกหน่อยเรือนร่างเจ้าก็เป็นของข้าทุกซอกมุม ยังจะมาเขินอายทำไม ทีปากเก่งไยถึงไม่รู้จักกลัว ทีเช่นนี้มากลัว” ถ้อยคำหยันดังมาให้ใจเจ็บ ทว่ามันจริงอย่างที่เขาพูด
ทำเอาถิงหลันถึงกับเถียงไม่ออก สุดท้ายก็ทำตามที่เขาว่า รั้งชายเสื้อของตนลง จนเผยให้เห็นบาดแผลตรงต้นแขนที่เลยศอกขึ้นมานิดเดียว และมันก็เห็นบางสิ่งที่ล้นออกมาจากซับในสีชมพูด้วย
มันเหมือนซาลาเปาลูกใหญ่ที่เอาผ้าปิดไว้เพียงครึ่ง และมันก็ดึงดูดสายตาของบุรุษเพศได้ดีเหลือเกิน จนโจวเป่ยโหวถึงกับลืมไปว่าตนกำลังจะทำสิ่งใดในยามนี้ กระทั่งเสียงใสของนางดังขึ้น
“ระ…รีบใส่ยาสิ ขะ…ข้าหนาว” นางไม่กล้าหันมามองเขา แม้อีกฝ่ายจะใส่หน้ากาก ทว่าถิงหลันก็เดาได้ว่าสายตาเขาอยู่ที่ใด
โจวเป่ยโหวได้สติก็รีบเช็ดทำความสะอาดแผลด้วยผ้าเปียก เขาพยายามทำมันอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน เพราะรอยแผลบนแขนเล็กมันบาดลึกเป็นทางยาว และโลหิตก็ยังซึมไหลออกมาไม่หยุด เขาจึงต้องใส่ยาก่อนแล้วค่อยมาเช็ดทำความสะอาดอีกที และมันก็ทำให้คนบาดเจ็บอดที่จะหันกลับมามองไม่ได้ เพราะเขาใส่ยานานเกินไปแล้ว
ทว่าพอเห็นท่าทางตั้งใจของเขาที่เอาแต่ก้มหน้าสนใจบาดแผลนางก็นึกขันอย่างเอ็นดู สงสัยท่านโหวคงไม่เคยทำแผลให้ใครกระมัง ถึงได้เงอะงะทำทุกอย่างสลับกันไปมาเช่นนี้ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ดึงความสนใจของนางได้ไม่แพ้กันก็คือ สัมผัสหยาบกร้านจากมืออีกฝ่าย ที่ยื่นออกมารองแขนนางไว้เพื่อประคองใส่ยานี้ต่างหาก มันบ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตก่อนหน้านี้เขาคงตรากตรำมามาก ดูท่าข่าวลือที่ได้ยินมาคงไม่ผิด
ถิงหลันรู้มาว่า ท่านโหวผู้นี้ได้ตำแหน่งมาจากการสร้างผลงานด้วยตนเอง มิใช่การรับช่วงต่อจากบิดาเช่นผู้อื่น จนกลายเป็นที่อิจฉาริษยาในกลุ่มขุนนางด้วยกัน ถึงกระนั้นท่านโหวผู้นี้ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขายังขันอาสาออกช่วยเหลือตามที่ต่าง ๆ แม้จะยากลำบากก็ไม่เกรง
บางคราเขาก็ผันตนเองไปเป็นแม่ทัพ ปราบศึกสงครามก็มี บางทีก็ปราบโจรตามหัวเมืองน้อยใหญ่ และคราวนี้เขาก็ขันอาสาไปช่วยขจัดภัยแล้งที่เมืองโจว ฮ่องเต้จึงพระราชทานนามใหม่ให้เขา เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลหยวน นามว่าโจวเป่ยโหว และนี่ก็เป็นสาเหตุให้เขาจำเป็นต้องแต่งฮูหยิน ภายหน้าจะได้มีทายาทสืบต่อศักดินา
ไม่รู้ว่าเขาเต็มใจหรือถูกบังคับ ทว่าในความคิดถิงหลันน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะเท่าที่รู้มา หยวนเซียวผู้นี้ เคยลั่นวาจาว่าจะไม่แต่งสตรีใดเข้าจวน ส่วนสาเหตุนั้นนางไม่รู้แน่ชัดเท่าใดนัก
เคยได้ยินเพียงว่า เป็นเรื่องคบชู้ระหว่างคู่หมายเขากับพี่ชาย เหตุนี้เองโจวเป่ยโหวจึงก้าวออกมาจากตระกูลหยวน เพราะผู้เป็นพ่อเข้าข้างพี่ชายแทนที่จะเป็นเขา แต่ก็นั่นแหละ บุตรคนโตมักจะเป็นที่ยอมรับกว่าเสมอ ไม่ว่าทำผิดแค่ไหนคนในครอบครัวก็ให้อภัย
เพราะพี่ชายคนโตเป็นบุตรที่เกิดกับท่านหญิงพี่สาวบุญธรรมของฮ่องเต้ ต่างจากหยวนเซียวที่เป็นเพียงบุตรของฮูหยินรองที่เป็นเพียงบุตรขุนนางชั้นผู้น้อย ทว่าเขาไม่เคยให้ปมด้อยตรงนี้มากดตนเองลงต่ำ หยวนเซียวยังคงมุมานะ จนกลายเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ในที่สุดเขาก็ได้รับตำแหน่งโหว โดยมิได้พึ่งพาบารมีใครแม้แต่น้อย
นึกมาถึงตรงนี้ ความใคร่รู้ของถิงหลันก็ก่อเกิดขึ้นอีก นางอยากรู้ว่าใบหน้าเขาเป็นเช่นไร มีบาดแผลอย่างที่เคยได้ยินมาหรือไม่ ไยท่านโหวต้องใส่หน้ากากปิดบังไว้ และไวกว่าความคิดก็มือนางนี่แหละ มันเอื้อมมาด้านหลังเขา ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังง่วนกับการก้มพันแผลให้นาง เชือกบนหัวถูกดึงจนหลุดออกในทันที และหน้ากากมันก็หลุดลงมากองที่มือของผู้ที่กำลังพันแผล จนหยวนเซียวต้องนิ่งไป
และเขาต้องชะงักไปอีก เมื่อมือเล็กสัมผัสลงที่เนินคิ้วไล่ลงมาที่หางตายาวมาจนถึงโหนกแก้ม เขาจึงเงยหน้าขึ้นสบตานาง หมายจะให้อีกฝ่ายดูให้ชัด เพราะหยวนเซียวคิดว่านางก็ไม่ต่างจากสตรีอื่น ตื่นกลัวและรังเกียจรอยแผลเป็นบนใบหน้านี้ ทว่าแววตาที่สื่อออกมาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ นางไม่มีท่าทีอย่างที่เขาคิดแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ
“คงเจ็บน่าดู ขนาดแผลข้าแค่โดนคมธนูเฉี่ยวยังปวดไม่หาย นี่โดนฟันเกือบจะตาบอด คงใช้เวลารักษาเป็นเดือนกระมัง ทว่าบาดแผลแค่นี้ ก็ไม่เห็นต้องใส่หน้ากากเต็มหน้าเลยนี่ แค่ปิดไว้ข้างหนึ่งเหมือนโจรสลัดก็ได้แล้ว มันดูดีกว่าเยอะนะข้าว่า” สิ้นคำนางก็ใช้มือที่ยังประกบใบหน้าเขากางออกปิดตรงตาเอาไว้
“อืม…ทำเช่นนี้การมองเห็นน่าจะชัดกว่าจริงไหมเจ้าคะ” เอ่ยถามเป็นการเป็นงานเหมือนกำลังแนะนำแนวทางใหม่ให้อีกฝ่าย พร้อมกันนั้นถิงหลันก็ยิ้มระรื่นส่งให้เขาด้วย
#ลูกสาวทำไมมึนแบบนี้ล่ะ 555
