บท
ตั้งค่า

2. มัดมือชก

เมื่อจู่ ๆ ถูกคนแปลกหน้าแบกขึ้นบ่าโดยไม่ทันตั้งตัว ถิงหลันก็รีบร้องท้วงเขาในทันที “ไม่ได้นะ! ข้าไม่ใช่คนที่ท่านต้องแต่งด้วยเสียหน่อย ท่านหูหนวกหรือตาบอดกันแน่เนี่ยะ” ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทำให้หญิงสาวเริ่มรู้ชะตาตนเอง จึงหันมาร้องขอบางอย่างกับเขา

“นี่ ถ้าท่านจะพาข้าไป เอาคนของข้าไปด้วยได้หรือไม่ หากให้พวกนางอยู่ที่นี่ต้องถูกทรมานแน่ นะ นะ ท่านโหวผู้ใจดี” ถิงหลันไม่ว่าเปล่า นางยังใช้มือจิ้มลงที่เอวสอบด้วย ทำให้ผู้ที่แบกนางอยู่ต้องหยุดชะงัก ก่อนจะรั้งนางให้หันมาเผชิญหน้ากันโดยไม่ได้ปล่อยลง

“ถ้าไม่อยากตายระหว่างทาง อย่าทำเช่นนี้อีก” เขาดุเสียงเข้ม

“ท่านโหวบ้าจี้หรือ” กะพริบตาถี่มองเขา ก่อนจะอมยิ้มชอบใจ เมื่อได้รู้ว่ายมทูตหน้าขาวที่ทุกคนกลัวก็มีจุดอ่อนด้วย

“เช่นนั้นท่านพาคนของข้าไปด้วยนะ นะ นะ” นางส่งเสียงออดอ้อนอีกหน ทว่าคนเย็นชาอย่างโจวเป่ยโหวหรือจะใส่ใจ เขายังคงแบกนางไปต่อโดยไม่ได้ออกคำสั่งใด ๆ จนกระทั่งเกือบจะถึงหน้าประตูอยู่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกหยุดชะงักอยู่กับที่

“ถ้าท่านไม่เอาคนของข้าไปด้วย ข้าจะกัดให้หูขาดเลย” นางเปล่งวาจาออกมาทั้งที่ปากก็ยังงับอยู่ที่ใบหูเขา ทำให้น้ำลายมันยืดจนเต็มใบหู แม้แต่คนสนิทของท่านโหวเห็นแล้วยังต้องหวั่นวิตก

“ปล่อย!” เสียงเย็นลอยมา ทว่าคนตัวเล็กกลับยังคงริมฝีปากอยู่ที่ใบหูเขา เพียงแต่ไม่ได้ออกแรงขบกัดก็เท่านั้น

“หานจิ่งไปจัดการ” เมื่อต่อรองกับคนบนตัวไม่สำเร็จ ก็หันไปสั่งคนของตนแทน เพียงเท่านั้นริมฝีปากบางก็คลายออก

“ขอบคุณมากนะเจ้าคะ ทว่าหูท่านโหวเค็มมากเลยไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้วเนี่ย” กล่าวพร้อมกับใช้แขนเสื้อถูน้ำลายออกให้

“เจ้าคงเป็นประเภท ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ” คนตัวโตมิวายเอ่ยขู่ เมื่อเห็นว่าที่เจ้าสาวตนพูดจาหยอกล้อไม่รู้จักมารยาท

ไม่รู้เขาคิดผิดหรือถูกที่หมายจะแต่งกับนางให้มันจบ ๆ ไป เขาไม่อยากเสียเวลาเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เพราะแต่งกับใครก็เหมือนกัน

“หึ! กลัวเป็นแล้วหรือ” เอ่ยหยันผู้ที่เขาแบกอยู่ในตอนนี้

“ข้าอยากไปลาท่านย่า ท่านปล่อยข้าลงก่อนได้หรือไม่ ในจวนนี้ไม่มีใครดีกับข้าเท่านาง ข้าอยากบอกให้ท่านย่ารู้ว่ากำลังจะแต่งงาน” น้ำเสียงที่เคยเจื้อยแจ้วหยอกล้อเขาบัดนี้สั่นเครือจนน่าใจหาย ทำให้สองเท้าที่กำลังก้าวเดินอย่างมั่นคงต้องหยุดชะงักลงในทันที

โจวเป่ยโหววางร่างบนตัวลง ทว่าเขายังคว้าข้อมือนางไว้ ก่อนจะหันมาหาเจ้าของจวนที่เดินตามมาห่าง ๆ

“พานางไปจัดการธุระ ข้าให้เวลาหนึ่งเค่อ” เอ่ยจบเขาก็ดันร่างเล็กไปหาบิดา ใต้เท้าหว่างจึงรีบพาบุตรสาวคนเล็กตนเข้าไปในเรือน ท่าทางของผู้เป็นพ่อไม่ได้อ่อนโยนต่อบุตรเลยสักนิด และไม่ถึงหนึ่งเค่อนางก็เดินออกมา ใบหน้าที่เคยสดใสกลับหม่นลงอย่างชัดเจน

“เราไปกันเถอะ” เงยหน้าเอ่ยกับว่าที่สามีเสียงเบา ก่อนจะเดินนำเขาออกไปโดยไม่บอกลาคนในครอบครัวสักนิด

“ไม่คิดจะพูดอะไรกับพวกเขาหรือ” คนสนิทโจวเป่ยโหวเอ่ยถาม แทนผู้เป็นนาย เพราะนางเดินออกมาโดยไม่หันไปมองด้านหลังเลย

“นับแต่นี้ไปข้ากับคนสกุลหว่างไม่เกี่ยวข้องกันอีก” เอ่ยจบนางก็เดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่มารอดูเจ้าสาว นำพาเสียงซุบซิบตามมาในทันที

“นี่มันคุณหนูสี่ของจวนมิใช่หรือ เหตุใดนางถึงขึ้นรถม้าที่มารับเจ้าสาวได้ มิใช่คุณหนูสามหรือที่ต้องแต่งงาน” หญิงชรานางหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับชะเง้อคอยาวด้วยความใคร่รู้ตามประสา

“ข้าได้ยินว่าคุณหนูสามหนีงานแต่งน่ะสิ” ป้าอีกคนสำทับ

“จริงหรือ น่าสงสารคุณหนูสี่นะ ต้องมารับหน้าที่แทนพี่สาวเสียได้ เช่นนี้ต่อไปเราก็ไม่ได้กินขนมที่นางทำแล้วสิ” หญิงชราอีกคนสำทับอย่างเสียดาย จากนั้นพวกนางก็มองตามรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป ไม่นานนักหน้าจวนท่านนายอำเภอก็ร้างผู้คน

ส่วนผู้ที่นั่งอยู่บนรถม้าก็ได้แต่ทอดถอนใจ เพราะไม่รู้ว่าชะตากรรมที่ต้องพบในวันหน้านั้นจะเป็นเช่นไร อยู่ดีดีก็ได้แต่งงาน

“ท่านแม่ ท่านย่าคุ้มครองข้าด้วยนะ” ถิงหลันเปิดม่านหน้าต่างออกมากล่าวพึมพำกับกำแพงเมืองที่มันกำลังห่างออกไปทุกที ก่อนจะหันมาเห็นว่าที่สามีตนมองอยู่ ท่าทางของเขาดูสง่ามากยามอยู่บนหลังม้า จึงอดไม่ได้ที่จะเย้าเขาเล่นตามประสาคนขี้แหย่

“สามี เปิดหน้าให้ข้าดูทีสิ ข้าอยากเห็น” ใบหน้างามใช้คางเกยกับขอบหน้าต่าง พร้อมกับเผยยิ้มสดใสใส่เขาอย่างน่าตี ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือการนิ่งเงียบของชายร่างโต ที่ดูเฉยชาเป็นอย่างมาก

‘ชิ! ทำเป็นหูทวนลมงั้นหรือ’ ก่นด่าเขาในใจแล้วก็คว่ำปากใส่พร้อมกับมองค้อนไปหนึ่งที ก่อนจะหันไปสนใจผู้ติดตามของท่านโหวแทน “พี่ชายเมืองโจวอยู่ไกลหรือไม่” เอ่ยถามผู้ที่บังคับม้าด้านหลัง

“สิบวันขอรับ” องครักษ์นามว่าจื่อโม่ตอบอย่างมีมารยาท

“สิบวันเลยหรือ ไกลเหมือนกันนะ” พึมพำผู้เดียว ไม่นานนางก็มีคำถามใหม่อีก “นี่แล้วคนของข้าล่ะ พี่ได้รับแม่นมข้ามาด้วยหรือไม่” กะพริบตาถี่มองอย่างมีความหวัง

“คาดว่าวันพรุ่งขอรับ” อีกฝ่ายตอบมีมารยาทเช่นเคย

“แล้วพี่มีนามว่ากระไรหรือ พี่ด้วย พี่ด้วย แล้วก็” นิ้วขาวหยุดลงที่ร่างกำยำบนหลังม้า ซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่สองช่วงแขน

“ข้าน้อยจื่อโม่ขอรับ นั่นจางเฉิน ส่วนนั่นตงฟาน ส่วนท่านโหวมีนามว่า หยวนเซียวขอรับ” องครักษ์หนุ่มแนะนำให้ฟัง ท่าทางเขาดูเป็นมิตรที่สุดแล้ว ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ทำหน้าถมึงทึงเหมือนโกรธใครมาเป็นสิบชาติ ไม่ยอมพูด และไม่ยิ้มแม้แต่น้อย

“คนทึ่เหลือคือพูดไม่ได้หรือ ข้าไม่ยักกะเคยได้ยินเสียง” เอ่ยถามเสียงใส ก่อนจะเผยยิ้มแป้นใส่ทุกคน ท่าทางนางไม่ได้ตื่นกลัวคนกลุ่มนี้เลยสักนิด ทั้งที่ความจริงพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าทั้งนั้น

“ฮ่าฮ่า พูดได้ขอรับ” จื่อโม่หัวเราะเอ็นดูคำพูดหญิงสาวอย่างลืมตัว ทำให้ผู้เป็นนายอดที่จะหันมาตำหนิไม่ได้

“สนุกกันมากหรือ” เพียงแค่คำนี้ดังขึ้น องครักษ์หนุ่มก็หน้าถอดสี ทว่าคนตัวเล็กที่อยู่ในรถม้าหาได้เป็นเหมือนกันไม่ นางยังคงมีความสุขกับการตั้งคำถาม กระทั่งความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

“ท่านโหว ขอข้าขี่ม้าด้วยได้หรือไม่” ยิ้มแฉ่งให้เขารอคำตอบ

ม้าที่กำลังถูกบังคับให้เดินจึงหยุดลง แล้วใบหน้าที่สวมใส่หน้ากากก็หันมาหาผู้ที่กำลังยิ้มแป้นใส่เขา “หากเจ้าไม่หุบปาก ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ให้หมาป่าลากไปกิน” สิ้นคำก็บังคับม้าเดินต่อ

“ชิ! คนใจร้าย” มองค้อนแล้วก็ปิดม่านลง จากนั้นถิงหลันก็ทิ้งตัวนอนบนที่นั่ง มองดูเพดานรถม้าไปเรื่อยจนกระทั่งผล็อยหลับ

เนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ได้ ทว่าตื่นมาอีกทีก็ค่ำแล้ว และยามนี้ขบวนเดินทางก็ได้หยุดพักที่ริมลำธารขนาดเล็ก มีทุ่งหญ้าขนาบทั้งสองฝั่ง หากเป็นยามกลางวันคงเห็นทิวทัศน์ได้ดีกว่านี้

นางมองดูกลุ่มคนที่นั่งล้อมวงกันห่างออกไปห้าสิบก้าว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจตนจึงเดินลงมาทำธุระส่วนตัว โดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น เพราะพวกเขาต่างก็คิดว่านางยังคงหลับอยู่

เมื่อจัดการทำธุระเสร็จ ถิงหลันก็เดินตรงมาหยุดที่ริมธารเพื่อล้างหน้า ทว่ายังไม่ทันได้ยอบกายนั่งลง เสียงขู่ของสัตว์หน้าขนก็ดังมาให้ได้ยิน นัยน์ตาของมันแดงก่ำดูน่ากลัว ริมฝีปากโค้งงอกำลังแสยะยิ้มเผยเขี้ยวคมแหลมให้เห็น พร้อมกับหยดน้ำลายที่ไหลเป็นทางยืดลงมา

#ลูกสาวเจอกับอะไรนะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel