ตอนที่4. เรื่องในอดีต
“ขอบคุณ” ดวงตาดุจบ่อน้ำลึกมีประกายขึ้นมาแทบสะกดคนที่จ้องมองให้ลืมหายใจ
“เช่นนั้นจะเรียกพี่สาวว่าอะไรดี” น้องสาวรีบพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
หญิงสางพึมพำในลำคอแต่นึกไม่ออกจึงได้แต่หลุบตาลงต่ำ
“ข้าชื่อหงเซ่อ ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกพี่สาวว่าไป๋เซ่อได้ไหม”
“ไป๋เซ่อ?”
มู่ลี่หยางยิ้มเก้อเขิน “พวกเราเป็นเด็กกำพร้า ตั้งชื่อกันเรียบง่าย ทำให้เจ้าขบขันแล้ว”
“สีแดงเหมาะกับเจ้า” หญิงสาวคลี่ยิ้ม ‘หงเซ่อ’คือสีแดง ‘ไป๋เซ่อ’ คือสีขาว “ข้าชอบ เรียกข้าไป๋เซ่อก็ได้”
หญิงสาวพึมพำเบาๆพยายามคลี่ยิ้มจางๆ แต่กลับรู้สึกถึงแรงต่อต้านอยู่ภายใน นางก้มมองข้อมือซ้ายตรงผ้าพันแผลมีรอยซึมของเลือดที่แห้งติดอยู่
หญิงสาวรู้สึกง่วงงุนผิดปกติจนต้องกระถดตัวลงนอนอีกครั้ง สองพี่น้องก็ช่วยจัดแจ้งให้ลงนอนอย่างสบายตัว ไม่ใช่ความสบายจากฟูกนอนหรือผ้าห่มผืนบาง แต่เป็นแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ทำให้รู้สึกต้องการพักผ่อนอีกครั้ง
ม่านควันหนาตาจนเด็กหนุ่มต้องโบกมือไล่ให้มองเห็นสิ่งตรงหน้า เขาไอโขลกๆ สำลักควันไฟแต่ยังพยายามเข้าไปในบ้านที่ถูกเปลวเพลิงโหมไหม้
“ท่านแม่!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก “น้องเล็ก!”
เขาไม่สนใจบาดแผลตามร่างกาย วิ่งฝ่ากองเพลิงไปจนเห็นร่างของมารดา ใบหน้าซูบเซียวแต่ดวงตาบวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ผมที่เคยยาวสลวยกลับยุ่งเป็นกระเซิง ในมือยังถือเชิงเทียนอยู่ ราวกับไม่ใช่มารดาที่เขารู้จัก
“ท่านแม่!”
“เขาทิ้งเราไปแล้ว…พ่อของเจ้าทิ้งพวกเราไปแล้ว นังแพศยาตัวร้ายมันแย่งผู้ชายคนนั้นไปจากแม่…”
เขาจับข้อมือของมารดาแน่นแต่ไม่กล้าออกแรงมาก เพราะเกรงอีกฝ่ายจะเจ็บ ทั้งๆที่ตัวเองก็หายใจไม่ออก
“ท่านแม่ รีบออกไปเถิด” เขาอ้อนวอน “น้องเล็กอยู่ที่ใด”
“ลี่หยาง เจ้าช่างเหมือนพ่อของเจ้านัก” มารดายกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบใบหน้าของลูกชาย “ น้องสาวของเจ้าเอาแต่ร้องหาพ่อ ร้องหาชายชั่วคนนั้น แม่...แม่ก็เลย...”
“ท่านแม่!” เด็กหนุ่มตวาดออกมาแล้วผลักมารดาไปพ้นทาง ความสนใจคือน้องสาววัยห้าขวบ เขาหันซ้ายแลขวาพลางส่งเสียงตะโกนเรียก “น้องเล็ก!”
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นคือร่างของน้องสาวที่แน่นิ่ง เขาวิ่งไปเข้าไปอุ้มร่างเล็กแล้ววิ่งฝ่ากองเพลิงออกมา แม้หันหลังกลับไปยังเห็นมารดายืนอยู่กลางกองเพลิง เขาพยายามเรียกน้องสาวให้ตื่น ทำทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่อาจปลุกนางขึ้นมาได้
ไม่มีอีกแล้ว เสียงหัวเราะสดใสและเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’
ชายหนุ่มผวาขึ้นจากเตียงนอนด้วยร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อภาพฝันแตกกระจายไปแล้วเมื่อลืมตา แต่ความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากข้างใน
เขาซบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง มารดาเสียสติหลังจากท่านพ่อติดพันคณิกานางหนึ่งถึงขั้นไถ่ตัวรับมาอยู่ในเรือน แต่ท่านพ่อจะยกนางขึ้นเป็นภรรยารองซึ่งมารดาไม่อาจยอมรับได้ หากเป็นแค่อนุ มารดายังพอรับได้แต่ถึงขั้นยกย่องเช่นนั้น มารดาที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งสองทะเลาะกันหนักหน่วง บิดาซื้อเรือนให้คณิกาผู้นั้นอยู่และแทบจะใช้ชีวิตที่นั้นยิ่งทำให้มารดาโกรธแค้น แต่เขาไม่คิดว่ามารดาจะถึงขั้นเสียสติ ทำร้ายน้องเล็กและเผาบ้านจนมอดไหม้ เขาเองไม่อาจรับเรื่องเลวร้ายนั้นได้ หลังจัดงานศพให้มารดาและน้องสาว เขาจึงออกมาอย่างเงียบๆ ใช้ชีวิตเร่ร่อนจนได้มาพบกับท่านหมอมู่จางหมิ่น
ผ่านมาหลายปีแต่เขายังฝันร้าย ภาพในคืนนั้นยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
เพราะรู้ตัวว่าตนเองมักฝันร้ายและผวาตื่นจึงแยกตัวออกมา สร้างห้องหลังเล็กแยกออกมา กลิ่นหอมหวานที่ไม่คุ้นเคยทำให้ลี่หย่างเหลียวมองรอบกาย แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อข้างกายมีร่างของหญิงสาวนอนขดกายราวแมวน้อย
“แม่นาง...เอ่อ ไป๋เซ่อ”
หญิงสาวเริ่มคุ้นกับชื่อใหม่ นางลืมตามองเขาแล้วค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง เสื้อผ้าตัวหลวมและสาบเสื้อที่คลายออกเผยให้ผิวกายขาวราวหิมะ ดูเหมือนนางจะไม่รู้ตัวว่าเสื้อผ้าหลุดรุ่ยทำให้พรานหนุ่มยื่นมือจับเสื้อผ้าของหญิงสาวให้มิดชิด ดวงตากลมโตกระพริบตาปริบๆ ก่อนก้มมองสิ่งที่เขาทำ ท่าทางไร้เดียงสาทำให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมา
