ตอนที่5. ข้าไม่รู้
“เข้าเมืองแล้วข้าจะหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้า” มู่ลี่หยางพึมพำแล้วพูดอย่างนึกได้ “เหตุใดเจ้ามานอนที่นี่”
ไป๋เซ่อทำหน้านิ่งคิด คิ้วงามขมวดยุ่งเหยิงก่อนส่ายหน้าไปมาแล้วพูดเสียงเบา
“ข้าก็ไม่รู้”
“เดินละเมอรึ” ลี่หยางถามเหมือนไม่ถาม เด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมดูแลหลายคนก็มีอาการเดินละเมอ หลังจากได้รับการรักษาก็ค่อยๆ ดีขึ้นจนหลายคนไม่เดินละเมออีก
“ไม่รู้” นางส่ายหน้าไปมาแล้วคลี่ยิ้ม “ข้านอนที่นี่ไม่ได้หรือ?”
“เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ควรมานอนกับข้าที่นี่”
“ที่เรือนหลังใหญ่ก็นอนรวมกัน” นางแย้งแล้วเอียงคอมองเขา “ข้าตัวโตนอนกินที่ผู้อื่น ข้าขอนอนกับท่านได้ไหม”
หากเทียบกับเด็กคนอื่น นางย่อมตัวโตกว่าแน่นอน แต่ถ้าเทียบกับร่างสูงใหญ่ของเขา นางก็เหมือนเด็กเล็กๆ เท่านั้น เขาถอนหายใจอีกครั้ง นางความจำเสื่อมและไม่ต่างจากเด็กไร้เดียงสาที่ต้องการคนปกป้องดูแล
“ไม่ได้ มันไม่เหมาะสม” เขายืนกร้าน ปกติเขาประสาทรับรู้ไวนักแต่ทำไมครั้งนี้เขาไม่รู้ว่ามีคนแอบมานอนด้วย หรือเพราะอยู่ในห้วงฝันร้ายจึงไม่ทันระวังตัว
ทว่าสายตาเจือรอยเศร้าที่จ้องมองเขาทำให้ใจอ่อน แม้นางเป็นหญิงสาวเต็มวัยแต่ความคิดอ่านเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น คงต้องค่อยๆ สอนให้นางเข้าใจไปที่ละขั้นตอน แต่คืนนี้...
“ช่างเถอะ อีกประเดี๋ยวก็เช้าแล้ว เจ้ามานอนตรงนี้ก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นสละที่นอนของตนให้นางขยับเข้าไปนอนด้านใน ส่วนตนเองอยู่ด้านนอก
“ลี่หยางใจดีที่สุดเลย” เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างดีใจแล้วขยับตัวไปนอนด้านใน ดึงผ้าห่มผืนเก่าของเขามาห่มอย่างไม่เกรงใจแล้วพริ้มตาหลับราวกับเป็นเจ้าของที่นอนเสียเอง
ถ้อยคำของนางทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะนอนต่อจึงนั่งมองหญิงสาวหลับใหลไปอย่างเงียบๆ นึกถึงภาพที่ตนเองพบนางหมดสติอยู่ริมลำธาร เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าไหมเนื้อดีแต่เปื้อนเปรอะคราบเลือดและขาดวิ่น ตามร่างกายมีรอยฟอกช้ำแต่ไม่มีบาดแผลสาหัส เขาไม่คิดว่านางจะบาดเจ็บหนักขนาดกลายเป็นคนความจำเสื่อมอย่างนี้ เขาแบกร่างที่หมดสติกลับมาให้หมอมู่จางหมิ่นรักษา
นางเป็นใครกัน หญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้เหตุใดถึงอยู่กลางป่าเพียงลำพัง
มู่ลี่หยางเหน็บผ้าห่มให้แล้วลุกขึ้นเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาใช้ชีวิตพรานล่าสัตว์ป่ามาหลายปี บางครั้งก็กินนอนในป่า บางคราวก็ออกจากเรือนตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเก็บของป่านำไปขายแลกเงิน ตัวเขาเองไม่จำเป็นต้องใช้อะไรนัก แต่หมอมู่จางหมิ่นที่ดูแลเด็กกำพร้าอยู่นั้นต้องใช้เงินซื้อข้าวสารและเสื้อผ้า เขาจึงช่วยเท่าที่พอทำได้ แต่คราวนี้เขาคงต้องหาของป่าเอาไปขายเพื่อซื้อเสื้อผ้าให้ไป๋เซ่อเสียแล้ว
เสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกทำให้หญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่น นางยกมือขึ้นบังแสงสว่างที่รอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้า เหตุใดนางไม่ชอบแสงแดดเอาเสียจริง แม้รู้ว่าตนเองไม่ชอบแต่ก็ยังฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง นางกวาดสายตามองรอบกายแต่ไม่พบแม้แต่เงาของมู่ลี่หยาง นางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงเดินมานอนที่ห้องของเขา ทั้งที่นางจำได้ว่าตอนที่นานนอนหลับนั้น ก็หลับพร้อมกับเด็กๆ คนอื่น
เด็กๆ
เด็กเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกว่าตนเองจะใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องทำงานช่วยพวกเขาบ้าง แต่ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งใดก็นำพาเรื่องยุ่งยากมาให้คนอื่นต้องแก้ไขเสมอ แต่นางก็ไม่ยอมแพ้แน่นอน คิดได้ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นเก็บที่นอนด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ราวกับไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้มาก่อน เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงเดินออกมาที่ลานกว้าง
“พี่ไป๋เซ่อตื่นแล้วหรือ?”
เป็นเสียงของหงเซ่อทักขึ้นแล้วยกตะกร้าใส่เสื้อผ้าจะไปซักผ้าที่ลำธารไม่ไกลนัก
“มีสิ่งใดให้ข้าช่วยได้บ้างไหม” ไป๋เซ่อถามแล้วเดินเข้าไปช่วยยกตะกร้าใส่ผ้า
“พี่สาวยังบาดเจ็บอยู่ จะถูกน้ำเย็นไม่ได้” หงเซ่อพูดขึ้นแล้วพยักหน้าไปทางห้องครัว “พี่สาวไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถิดแล้วมากินข้าวเช้ากัน”
แม้หงเซ่อจะเป็นเพียงเด็กหญิงแต่การสั่งงานดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไป๋เซ่อพยักหน้ารับแล้วเดินหาไปทางบ่อน้ำด้านหลัง ใช้เวลาไม่นานนางก็รีบเดินเร็วๆ มาช่วยเด็กคนอื่นๆ ในครัว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่เกี่ยงงอน ไป๋เซ่อถูกจูงมือให้มานั่งรอที่เก้าอี้ เสียงหัวเราะครืนเครงแบบที่นางไม่คุ้นเคยแต่ให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาดนัก
