บทย่อ
มู่ลี่หยางใช้ชีวิตเป็นพรานป่าหาของป่าไปขายอยู่หลายปี แต่เข้าป่าครั้งนี้เขาได้พบหญิงสาวผู้หนึ่งหมดสติอยู่จึงช่วยนางไว้ ทว่าทันทีที่นางลืมตา นางกลับจำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง เขาจึงจำเป็นต้องดูแลนาง แต่ที่ทำให้เขาหนักใจ ก็คือนิสัยนอนละเมอของนาง เหตุใดทุกครั้งที่นางละเมอต้องมาอยู่บนเตียงเขาด้วยเล่า! “พี่ลี่หยาง!” “นอนดีๆ อย่าฟุ้งซ่าน คืนนี้เจ้าต้องพักผ่อน” “ข้ารู้ แต่ไม่ต้องมัดข้าขนาดนี้ก็ได้”" “ไม่ได้” เขาสะบัดมือเพียงคราวเดียว เปลวเทียนในห้องก็ดับลง “หากจะนอนเตียงเดียวกับข้าก็อย่าดื้อ อย่าซุกซน” “พี่ลี่หยาง” เสียงหวานเอ่ยขึ้น “นอนเสีย!” เขาตวาดทีเดียวหญิงสาวก็เงียบเสียงไป แม้ได้เห็นเพียงแผ่นหลังของเขา นางก็มีความสุข ขอเพียงได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยอมทำทุกอย่าง แม้จะถูกมัดเป็นบะจ่างก็ยอม.
ตอนที่1.
แนะนำตัวละคร
ไป๋เซ่อ-ฟู่เหยียนอวี้ : มีฐานะเป็นน้องสาวของประมุข
ฟู่อวิ๋นเชิง
มู่ลี่หยาง : นายพรานหนุ่มเป็นเด็กกำพร้าที่หมอมู่จาง
หมิ่นอุปการะ
มู่จางหมิ่น : หมอชาวบ้านที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายสิบ
ชีวิต
ฟู่อวิ๋นเซิง : ประมุขพรรคมาร
หลิวชิง : มือขวาฟู่อวิ๋นเชิง
ตอนที่1. จำอะไรไม่ได้เลย
หญิงสาวขยับข้อมือที่เจ็บไปมาราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน ยังไม่ทันที่สมองจะลำดับเหตุการณ์ต่างๆนานา เสียงฝีเท้าคนเข้ามาใกล้เรียกดวงตาสีนิลให้หันขวับไปมองทันที ร่างเพรียวขยับลุกขึ้นนั่งในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัว ดวงตาหรี่มองไปทางประตูห้องที่เปิดออกพร้อมกับร่างของเด็กหญิง เด็กน้อยอ้าปากกว้างแล้วหันไปส่งเสียงดังนอกประตู
“ฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้ว! พี่ลี่หยางมาดูเร็ว พี่สาวฟื้นแล้ว!”
เสียงของ ‘หงเซ่อ’ เด็กหญิงวัยสิบสองตะโกนเรียกพี่ชายที่ลานบ้าน ร่างเล็กของเด็กสาวประคองถาดอาหารที่มีชามข้าวต้มกับผักดองใกล้ฟูกนอน โดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“ฟื้นแล้ว...”
‘มู่ลี่หยาง’ ได้ยินเสียงเด็กน้อยชัดเจน เขาโยนฟื้นบนบ่าลงแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง ร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ดวงตาคมจ้องมองไปที่หญิงสาวลุกขึ้นนั่งฟูกนอนในท่าที่เตรียมจะพุ่งกระโจนออกไปทั้งที่สวมเสื้อคลุมเนื้อหยาบและหลวมโพรก เขาเผลอกลืนน้ำลายที่เห็นไหล่เสื้อเลื่อนหล่นเผยผิวกายขาวผุดผ่องดุจหยกใส
“ใจเย็นๆ ไม่มีผู้ใดทำอันตรายเจ้า”
มู่ลี่หยางชูมือสองข้างขึ้นเพื่อแสดงเจตนาว่าไม่มีอาวุธในมือ แต่เด็กหญิงที่เกล้าผมเป็นมวยก้อนกลมๆ สองข้างนั้นกลับทิ้งตัวนั่งข้างหญิงสาวที่ยังมีแววตาตื่นตระหนก หงเซ่อชะโงกหน้าไปใกล้ๆเพื่อจ้องมองดวงตาสีนิล
“หรือนางฟังภาษาเราไม่รู้เรื่อง” หงเซ่อเอียงคอมองอย่างสงสัย เด็กหญิงเป็นคนดูแลหญิงสาวแปลกหน้าด้วยตนเอง นางไม่เคยเห็นสตรีงดงามอย่างนี้มาก่อน “หรือนางอาจเป็นเทพเซียนก็เป็นได้”
“เหลวไหล” มู่ลี่หย่างส่ายหน้าไปมา แต่เขาต้องยอมรับว่านาง ‘งดงาม’ กว่าสตรีใดที่เขาเคยพานพบมา
หญิงสาวบาดเจ็บได้ยินก็ข่มใจหลับตาชั่วครู่ แต่เหมือนสมองกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆร่างที่นั่งอยู่เกิดซวนเซหมดเรี่ยวแรงทรงตัว มู่ลี่หยางรีบเข้ามาประคองร่างบางก่อนที่จะล้มลงหัวฟาดพื้น เขาประคองร่างอ่อนนุ่มให้นอนอีกครั้งหงเซ่อรีบวิ่งไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามใบหน้าและเนื้อตัวที่พ้นเสื้อผ้าซึ่งเป็นเสื้อของชายหนุ่ม เด็กหญิงร่างเล็ก เสื้อผ้าที่นางมีไม่สามารถให้พี่สาวคนสวยใส่ได้ และที่สำคัญ ฐานะของพวกเขาค่อนข้างยากจน จะซื้อเสื้อผ้าสักคราก็ต้องรอปีใหม่ จึงต้องใช้เสื้อผ้ามู่ลี่ หยางให้อีกฝ่ายใส่แทนไปก่อน
“ใจเย็นๆ ที่นี่ไม่มีใครทำร้ายเจ้า เอ่อ…เจ้าฟังรู้เข้าใจหรือไม่?” มู่ลี่หย่างบ่นก่อนถอนหายใจหนักๆ ผิวขาวเหมือนราวกับหิมะกับดวงตาสีนิลลึกลับทำให้เขาเริ่มหวั่นๆ ที่จะสนทนากับอีกฝ่าย
“ทำอย่างไรดี พ่อบุญธรรมก็ยังไม่กลับ” หงเซ่อพึมพำขณะยื่นผ้าไปเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย แล้วหงเซ่อก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกคว้าข้อมือไว้
“ที่-นี่-ที่-ใด” เสียงตะกุกตะกักของหญิงออกมา น้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้งจนคนฟังรู้สึกเวทนา
“นางพูดได้!” หงเซ่อดีใจ แต่ต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ “พี่สาว ปล่อยแขนข้าก่อน กระดูกข้าจะหักแล้วนะ”
“อ๊ะ!” หญิงสาวรีบปล่อยมือทันที นางกวาดตามองอย่างตื่นตระหนกแต่ลดความระแวงลง
“ดีจริง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ” มู่ลี่หยางยิ้มดีใจไม่แพ้กัน
“เจ็บ-มือ-ปวด-หัว”หญิงสาวนัยน์ตาสีนิลค่อยพูดที่ละคำ เหมือนพยายามค้นหาคำพูดให้ได้ตามใจคิด
“พ่อบุญธรรมตรวจแล้ว บาดแผลไม่หนักหนาแต่เจ้าหมดสติไปถึงสามวันสามคืน”
ชายหนุ่มยิ้มให้ เขาเห็นนางเพิ่งฟื้นจึงไม่อยากเล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้พบนางในสภาพชุ่มโชกไปด้วยโลหิต
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใดหรือจะให้พวกเราติดต่อญาติให้เจ้า” หงเซ่อชะโงกหน้าเข้ามาถาม
“บ้าน-ญาติ-หมด-สติ-สาม-วัน”
ดวงตาคู่สวยกลอกไปมาอย่างงุนงง ยิ่งพยายามคิดระลอกคลื่นแห่งความเจ็บปวดก็ถามโถมเข้ามาอย่างรุนแรงจนต้องยกมือขึ้นนกุมศีรษะและร้องครางออกมา