ตอนที่3. เจ้าจะทำอะไร
“ข้ารู้ เจ้าไปดูนางเถิด ส่วนตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า บ้านเราไม่ร่ำรวยแต่เลี้ยงคนเพิ่มอีกปากอีกท้องก็ยังพอไหว” หมอมู่โบกมือไปมา
“พ่อบุญธรรม...เอ่อ... แผลที่ข้อมือซ้ายของนาง”
“มันรอยโดนของมีคมบาด ซึ่งอาจจะโดนกรีดโดยการใช้มือขวาข้างที่ถนัดกระทำหรืออาจจะถูกทำร้ายก็ได้”
หมอมู่จางหมิ่นถอนหายใจหนักหน่วง ไม่อยากตัดสินว่าหญิงสาวผู้นั้นทำพยายามฆ่าตัวตายมาก่อนหรือว่านางอาจถูกทำร้ายมาก็เป็นได้ และนั้นอาจเป็นสาเหตุที่นางจำอะไรไม่ได้เลย
เสียงขลุกขลักดังขึ้นขึ้นจากด้านในห้อง
“ข้าจะไปต้มยา เจ้าไปดูนางเถิด ยังดีที่ไม่ได้เป็นใบ้ ไม่เช่นนั้นเจ้าลำบากกว่านี้แน่”
ดวงตาสีนิลย้ายจากแมงมุมลงมาเพ่งมองข้อมือตัวเอง นางไม่รู้ว่าได้แผลเหล่านี้มาอย่างไร หญิงสาวรู้ว่าตัวเองนอนนานเกินไปแล้ว ตั้งแต่ได้แต่สติมาก็เอาแต่นอนนิ่งๆ ฟังเสียงรอบข้างและครุ่นคิดว่าตนเองเป็นใคร นางสรุปเอากับตนเองว่า...คงคิดอะไรไม่ออกในเร็ววันเป็นแน่ และการนอนเช่นนี้ก็ไม่ช่วยอะไรเช่นกันจึงยันกายขึ้น แต่เพียงลุกขึ้นยืนก็ไร้เรี่ยวแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น
“เจ้าทำอะไร” มู่ลี่หยางขมวดคิ้วแล้วรีบสาวเท้าเข้ามาประคองให้นางเอนกายลงนอนอีกครั้ง “จะเอาอะไรก็เรียกสิ”
ดวงตางดงามคู่นั้นจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ มู่ลี่หยางเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาทำให้นางหงุดหงิด เขาประคองเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามจะลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง รู้สึกโล่งใจที่นางไม่มีท่าทีตื่นกลัวเช่นเมื่อคืนวาน หญิงสาวพิจารณาชายหนุ่มอย่างเปิดเผย คนผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ผิวกายสีเข้มเหมือนผิวทองแดง ใบหน้าเปื้อนหนวดเคราบางๆ ราวกับเพิ่งโกนทิ้งไป ผมเผ้ายุ่งไปเล็กน้อย เสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นเหม็นที่นางไม่ชอบใจ
หญิงสาวขมวดคิ้ว เหตุใดนางต้องชอบหรือไม่ชอบด้วยเล่า?
“ไม่เป็นไร…ไม่ต้องรีบร้อน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ข้า…ไม่ได้...เป็นอะไร…” นางรู้สึกลำหอแห้งผากจนยกมือแตะที่ลำคอ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นไปรินน้ำมาให้นางดื่ม แต่หญิงสาวรีบยื่นมือมาคว้าถ้วยน้ำแล้วดื่มอึกๆ
อึกแล้ว…อึกเล่า…มันก็ไม่ได้ลดความกระหายลง
“ช้าหน่อย ประเดี๋ยวสำลัก” เขาเตือนนาง “แผลตามร่างกายก็ไม่มีอะไรมาก ท่านหมอมู่บอกว่าต้องพักผ่อนมาก อย่าคิดมาก”
เขาพยายามรักษาระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่เขาเป็นคนพูดจาเสียงดังและนิสัยหยาบกระด้าง หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่สายตาจับจ้องที่ลำคอของอีกฝ่ายและเผลอริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
“พี่สาว!” เด็กหญิงตัวน้อยโผล่หน้าเข้า แววตาซุกซน “พ่อบุญธรรมบอกพี่สาวความจำเสื่อม”
“หงเซ่อ!” เขาเผลอตวาดน้องสาวเสียงดังจนเด็กหญิงหน้าซีด เพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรพูดบางสิ่งออกไป
“ไม่-เป็น-ไร”
หญิงสาวเสยผมยาวที่ลงมาเคลียแก้มแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่ข้อมือซ้าย ร่องรอยเดียวที่เหลืออยู่บนเรือนกายของนาง
“เอ่อ…ตอนที่พบพี่สาว ข้าเป็นคนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า บนตัวพี่สาวไม่มีอะไรบ่งบอกตัวตนเลย” เด็กหญิงพึมพำเบาๆ แก้เก้อ
“ข้า…คงรบกวนพวกเจ้ามาก ถ้าคิดอะไรออกจะรีบไป…เอ่อ…หรือข้าควรไปก่อนคิดอะไรได้...นำพามาซึ่งความลำบาก…”
หญิงสาวรู้สึกสับสนกับคำพูดของตัวเอง
“ไม่เป็นไร อยู่ด้วยกันก็ได้ พ่อบุญธรรมก็ไม่ได้ว่าอะไร” น้องสาวตัวดีรีบบอก “ที่นี่มีเด็กกำพร้าอยู่กันหลายคน พ่อบุญธรรมของเราคือท่านหมอมู่จางหมิ่นที่เก่งกาจที่สุดในย่านนี้”
“ท่าน-หมอ-มู่-จาง-หมิ่น”
“ใช่หมอมู่จางหมิ่น” เด็กหญิงพยักหน้ารับ “เป็นพ่อบุญธรรมของพวกเรา พวกเราใช้แซ่มู่กันหมด”
หญิงสาวกลอกตามองไปทางชายหนุ่มแล้วย้ายสายตามาทางเด็กหญิง มู่ลี่หย่างเข้าใจความหมายจึงอธิบายเพิ่ม
“พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านหมอมู่อุปการะ” เขาลูบท้ายท้อยอย่างเคยชิน “หากเจ้าคิดอะไรไม่ออกก็อยู่ที่นี่ไปก่อนได้”
ชายหนุ่มพยายามให้กำลังใจ แต่เขาเองนึกแปลกใจในสถานการณ์อย่างนี้ทำไมหญิงสาวตรงหน้าถึง ‘สงบ’ได้อย่างประหลาด ถ้าเป็นเขาอาจจะคลุ้มคลั่งที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง ยกเว้นอาการตื่นตกใจเมื่อคืนเท่านั้น!
