6 ความเห็นอกเห็นใจที่ไม่รู้ตัว
การเดินทางข้ามเวลา เป็นแนวคิดเรื่องการเคลื่อนที่ระหว่างจุด 2 จุดที่มีความแตกต่างกันในห้วงเวลา หรือ ระหว่างห้วงเวลาหนึ่งไปยังอีกห้วงเวลาหนึ่ง ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับการเคลื่อนที่ระหว่างจุด 2 จุดที่มีความแตกต่างกันในพื้นที่ หรือ ปริภูมิ ในลักษณะย้อนสู่อดีตหรือมุ่งสู่อนาคต โดยไม่จำต้องประเชิญห้วงเวลาที่คั่นระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดหมายปลายทาง ซึ่งอาจอาศัยเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่เรียกกันว่า "จักรกลข้ามเวลา" (time machine) ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดในนิยายหรือสมมุติฐานก็ตาม
แม้การเดินทางข้ามเวลาได้เป็นหัวเรื่องยอดนิยมในบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ และมีทฤษฎีมากหลายว่าด้วยวิธีเดินทางข้ามเวลา ทว่า ตามกฎแห่งฟิสิกส์แล้วยังไม่ปรากฏว่ามีหนทางช่วยย้อนอดีตหรือลัดสู่อนาคตแต่ประการใด….
ศศินาถอนหายใจเมื่ออ่านไปได้นิดหน่อย ไม่ว่าจะเข้าไปอ่านเว็บไหนคำตอบที่ได้ก็คล้ายกันทั้งหมด และที่แน่ๆคือ ไม่มีคำตอบที่ต้องการอยู่ดี วันหยุดวันที่สองหลังมื้อเช้า ศศินาใช้มันไปกับการค้นหาข้อมูลเรื่องการเดินทางข้ามเวลาแม้จะรู้ว่าหาไปก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ทำเอาสงสัยว่าจะมีใครเคยพบเจอเหตุการณ์พวกนี้เหมือนเธอบ้างหรือเปล่า แต่ใครจะมาบอกให้โลกรู้ทั้งที่มันไม่น่าเชื่อกันล่ะ เป็นเธอก็คงไม่ทำเหมือนกัน สุดท้ายก็ได้แต่อ่านไปถอนหายใจไปแบบนี้
“เจ้าเจอสิ่งใดหรือไม่”
อคิราห์ที่อดทนนั่งรออยู่ข้างๆรีบถามทันทีที่เห็นศศินาเงยหน้าขึ้นมาจากจอสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เธอเคยบอก ว่ามันคือเครื่องมือสื่อสารในโลกนี้ แม้จะอยากรู้อีกมากมายหลายคำถามแต่ก็ไม่อยากกวนใจเลยถามเพียงเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น
“ไม่เลย มันจะเจอได้ยังไงในเมื่อเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นี่นา”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วจะทำอย่างไรต่อดีเจ้าคิดออกหรือไม่”
“ฉันยังคิดอะไรไม่ออกเลย ขอไปพักแป้บนึงนะคะ”
ศศินาบอกเพราะรู้สึกล้าสายตา เธอเดินออกมาปล่อยให้อคิราห์อยู่กับทีวีที่ยังเป็นที่น่าสนใจสำหรับเจ้าตัวต่อ อย่างน้อยก็คงดีกว่ามานั่งเครียดทั้งที่ยังหาทางออกไม่ได้แบบนี้ เธอไม่ได้มีปัญหาในการดูแลใครเพิ่มหรอก แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากดูแลนานเกินกว่าที่ควรเท่านั้นเอง
ร่างบางเดินเข้ามาในห้องนอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง เงยหน้ามองเพดานแล้วครุ่นคิดว่าเธอพลาดอะไรตรงไหนไปบ้าง แต่ยังไม่ทันได้นึกอะไรต่อเสียงมือถือก็ดังขึ้นซะก่อน ศศินามองชื่อที่โทรเข้าก็ได้แต่ถอนหายแรงๆด้วยความหงุดหงิด คิดไว้ไม่มีผิดว่าวันหยุดนี้ของเธอคงไม่ราบรื่นแล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“สวัสดีค่ะพี่น้ำหนึ่ง”
‘น้องศิ พี่รบกวนเรารึเปล่าคะเนี่ย’
“ไม่หรอกค่ะ พี่มีอะไรรึเปล่าคะ”
ถึงจะอยากบอกว่ารบกวนมากแต่ก็ทำได้แค่ตอบตามมารยาทเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้างานที่ทำอยู่ และเธอก็แทบจะเดาบทพูดต่อจากนี้ได้ด้วยซ้ำ
‘คือ มันมีงานด่วนเข้ามาค่ะน้องศิ ทางลูกค้าเค้าอยากปรับเปลี่ยนหน้าเว็บที่น้องศิทำส่งไปนิดหน่อย ก็เลยจะรบกวนน้องศิเข้ามาแก้ให้สักนิดนึงได้มั้ยคะ พอดีเค้าต้องการใหม่แบบด่วนเลยค่ะน้อง’
ศศินากรอกตาไปมาอย่างสุดจะทน ทั้งเรื่องงานที่แก้แล้วแก้อีกทั้งที่ตอนส่งก็บอกพอใจทุกรอบ ไหนจะวันหยุดที่เธอถูกตามไปทำงานอยู่ตลอดจะเรียกวันหยุดได้ที่ไหนกัน เป็นงานที่แทบไม่เหลือเวลาให้ใช้ส่วนตัวเลยจนปีนี้ศศินาถึงขั้นคิดว่าจะลาออกแล้วด้วยซ้ำ แค่งานอิสระที่รับทำกับเงินเก็บก็มากพอให้ใช้ชีวิตได้แล้ว เธอเหนื่อยกับการทำงานถวายชีวิตนี้มากจริงๆ
“ได้ค่ะพี่น้ำหนึ่ง ขอเวลาสักชั่วโมงนะคะศิจะรีบไปค่ะ”
‘รบกวนด้วยนะคะน้องศิ แล้วเจอกันค่ะ’
ศศินาวางสายก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ร้อนที่เกิดขึ้นมา ถึงยังไงเธอก็จะลาออกตามใจไม่ได้อย่างน้อยก็ให้มันสุดทนแล้วค่อยแจ้งตามขั้นตอนจะดีกว่า ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเธอมีครอบครัวจะอดทนมาจนถึงตอนนี้รึเปล่า เพราะเห็นส่วนใหญ่ก็ยอมไปรับเงินน้อยลงแล้วมีเวลามากขึ้นกันทั้งนั้น ถึงจะหงุดหงิดใจแต่ศศินาก็ต้องลุกไปเตรียมตัวอยู่ดี ไม่ใช่แค่เวลาที่เสียไปหรอก งานที่รออยู่ก็ประสาทจะกินพอกันนั่นแหละ แก้แล้วแก้อีกจนอยากจะบ้าตายทุกที
“เจ้าจะไปไหนหรือ”
อคิราห์ที่กำลังตื่นเต้นกับการเปลี่ยนช่องดูทีวีไปมาหันไปถามศศินาด้วยความสงสัย การแต่งตัวที่เปลี่ยนไปกับกระเป๋าสะพายบนบ่า บ่งบอกได้ว่าอีกคนน่าจะออกไปข้างนอกแน่ๆ
“มีงานด่วนเข้ามาค่ะ ฉันต้องรีบไปจัดการคุณอยู่คนเดียวไปก่อนนะ มื้อกลางวันก็กินได้เลยไม่ต้องรอนะคะ”
ศศินาสั่งแม้จะยังไม่ได้สอนอะไรอคิราห์อีกหลายอย่าง แต่ก็วางใจได้นิดหน่อยเพราะรู้ว่าไม่ใช่คนที่จะวุ่นวายก่อเรื่องอยู่แล้ว เรียกว่าสั่งแบบไหนเจ้าตัวก็ทำแบบนั้นมาตลอด เลยไม่ต้องกังวลมากเท่าไร
“งั้นหรือ งั้นก็ไปเถอะไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าจะรอเจ้ากลับมา”
ประโยคท้ายกับรอยยิ้มนั่นทำเอาศศินาตาพร่าใจสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ออร่าพระเอกนิยายนี่มันรุนแรงกับใจจริงๆให้ตายเถอะ
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ แล้วจะรีบกลับมา”
“ไปดีมาดีนะแม่หญิง”
—--
“น้องศิ น้องศิคะ”
“คะพี่น้ำหนึ่ง”
ศศินาสะดุ้งเมื่อถูกเรียกดังขึ้น เธอกำลังรีบจัดการกับงานเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ได้นับ ตั้งแต่ก่อนเที่ยงยันบ่ายสามทำเอาใจเริ่มพะวงถึงคนที่ห้องว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่า เธอรีบที่สุดแล้วแต่เหมือนโดนแกล้งให้ช้าลงยังไงยังงั้น ต้องแก้ตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อยแต่ก็ไม่ยอมจบให้เธอสักทีจนเริ่มหงุดหงิด
“เป็นอะไรรึเปล่าคะดูไม่ค่อยมีสมาธิเลย พี่จะบอกว่าเร่งมือก่อนสี่โมงเย็นได้มั้ยคะพอดีพี่จะรีบกลับบ้านน่ะค่ะ”
“อ้อ เรียบร้อยแล้วค่ะพี่เอาไปส่งได้เลย”
“รอบนี้ได้แน่ใช่มั้ยคะ พี่ไม่เคยเห็นน้องศิแก้งานหลายรอบแบบนี้เลย ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ”
ประโยคที่ดูเหมือนห่วงใยทั้งที่แอบจิกกัดนี่ทำเอาศศินาอยากสวนกลับให้สาสมกับความเหนื่อยจริงๆ ตัวเองไม่ได้ทำอะไรแท้ๆแต่ดันมาพูดบั่นทอนคนอื่นอยู่ได้ มันไม่ใช่ความผิดของศศินาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เธอออกแบบตามที่ต้องการทุกอย่างไม่เคยพลาด ตอนส่งไปก็ได้รับคำชมและไม่มีปัญหาอะไรสักอย่าง ผ่านไปไม่กี่วันดันเปลี่ยนใจแล้วกลายเป็นความผิดเธอได้ยังไงศสินาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ยิ่งช่วงนี้มีเรื่องกวนใจหลายอย่างก็ยิ่งคิดเรื่องลาออกมากขึ้นจนแทบเก็บคำพูดไว้ไม่ไหวจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ รอบนี้น่าจะโอเคแล้วพี่ไปส่งได้เลยค่ะ”
“งั้นเหรอ งั้นก็เอามาให้พี่เลยค่ะพี่อยากรีบกลับเต็มทีแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ว่าจะลาหยุดยาวซะหน่อย”
เจ้าตัวพูดไปยิ้มแย้มไปเหมือนมีความสุขนักหนาจนศศินาได้แต่ยิ้มแห้ง ก็ใช่สิพวกระดับสูงๆก็ทำตามใจตัวเองได้อยู่แล้วนี่นะ ขนาดเธอใช้แค่วันหยุดธรรมดายังไม่ได้หยุดดีๆเลย ถูกตามมาทำงานในวันหยุดแบบนี้จะให้ลาไปเที่ยวไหนยาวๆได้ก่อน
สุดท้ายงานที่เธอรีบแก้จนตาลายก็ผ่านไปได้ในเวลาใกล้สี่โมงเย็น ศศินารีบบึ่งรถกลับมาเพราะความเป็นห่วงอคิราห์ที่อยู่ห้องคนเดียว อดคิดไม่ได้ว่าหากติดต่อกันได้คงไม่ต้องกังวลมากขนาดนี้ ก็เลยนึกขึ้นมาว่าถ้าคืนนี้ยังหาวิธีให้กลับไปไม่ได้คงต้องสอนการใช้ชีวิตเพิ่ม และก็คงต้องซื้อมือถือให้จริงๆแล้ว ไปๆมาๆก็คล้ายกับเลี้ยงเด็กเลยเหมือนกัน ติดที่โตไปหน่อยเท่านั้น ถ้าให้อิงจากนิยายก็แปลว่าอคิราห์อายุน้อยกว่าเธอถึงสามปีเลยทีเดียว
“ไยเจ้าไปนานเพียงนี้แม่หญิง ข้าดูสิ่งนี้จนแทบจะหลับอยู่แล้ว”
“งานมันไม่เสร็จสักทีน่ะสิ วันหยุดแท้ๆยังเรียกให้ไปทำงานอีกอยากลาออกจริงๆ”
ศศินาบ่นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวข้างๆ มองดูหน้าจอทีวีที่ฉายการ์ตูนก็แอบเอ็นดูไม่น้อย คนอะไรตื่นเต้นกับทีวีมาสองวันก็ยังไม่เลิก เห็นอะไรก็เรียกให้ดูตลอดเหมือนเด็กไม่มีผิด นึกถึงตอนแรกที่อธิบายก็ยังขำไม่หาย อคิราห์ถามว่าศศินาใช้มนต์คาถาใดจับผู้คนมาขังไว้เล่นในนี้ กว่าจะเข้าใจว่าเป็นเพียงภาพที่ถูกบันทึกมาก็เล่นเอาเหนื่อยแทบตาย เอะอะอะไรก็จะให้เธอเป็นคนใช้เวทมนต์คาถาอยู่ได้ ถ้าใช้ได้จริงก็คงส่งกลับไปโลกนิยายนานแล้วเถอะ
“ลาออกหรือ เจ้าไม่ชอบงานที่ทำหรือแม่หญิง”
“ชอบสิ แต่ไม่ชอบที่ไม่มีเวลาให้หยุดแบบนี้ ฉันถูกเรียกไปทำงานในวันหยุดตลอดเลยคุณเชื่อมั้ย”
ศศินาบ่นออกมาแม้รู้ว่าอคิราห์คงไม่เข้าใจโลกปัจจุบันนัก แต่ความเหนื่อยและเบื่อสะสมทำให้เธออยากระบายออกมาบ้างเท่านั้น เพิ่งรู้ว่าพอมีใครสักคนให้บ่นด้วยมันรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูกเลย กี่ปีแล้วนะที่เธอไม่ได้พูดหรือบ่นอะไรกับใครแบบนี้
“แบบนั้นยังเรียกว่าวันหยุดได้อย่างไรกัน เจ้ามีคนให้แจ้งเรื่องนี้ได้หรือไม่”
“มีสิคะ แต่เค้าคงไม่สนใจหรอกเพราะเค้าคือคนจ้างเรา ช่างมันเถอะค่ะอีกไม่นานฉันก็ตั้งใจจะลาออกอยู่แล้ว ทนอีกเท่าที่ไหวก็พอ”
“งั้นหรือ งั้นเจ้าพักให้หายเหนื่อยก่อนดีหรือไม่”
“คุณไม่หิวเหรอ วันนี้ว่าจะสั่งข้าวเย็นมาแทนฉันขี้เกียจทำแล้ว”
“ยังไม่หิวหรอก ข้านั่งอยู่ตรงนี้เฉยๆไม่ได้ออกแรงทำอะไรแม้แต่น้อย แต่ว่าเจ้าสามารถสั่งสำรับอาหารได้ด้วยหรือ เจ้าไม่มีบ่าวในเรือนเสียหน่อย”
“สั่งจากคนที่ขายอาหารสิคะ ที่นี่มีร้านขายอาหารเยอะแยะไปหมดไม่เหมือนกับที่โลกของคุณหรอกนะ วันไหนที่ไม่อยากทำเองฉันก็สั่งมาแบบนี้แหละ”
ศศินาอธิบาย แม้จะไม่เข้าใจเท่าไรนักแต่อคิราห์ก็พยักหน้าแล้วคิดว่าโลกนี้แลดูสะดวกสบายไปเสียหมด มีอีกหลายคำถามที่อยากถามแต่เพราะเห็นศศินาดูเหนื่อยๆเลยได้แต่เก็บเอาไว้ก่อนเหมือนเคย
“งั้นเจ้าก็ไปพักเถอะแม่หญิง”
“งั้นรอสักหกโมงเย็นนะคะ หรือถ้าคุณหิวก็ไปเคาะประตูเรียกฉันได้เลยค่ะ”
“ตามสบายเถิด”
อคิราห์บอกด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ศศินาใจสั่นอีกแล้ว มันรู้สึกแปลกๆที่ได้รับความห่วงใยหรือคำพูดแบบนี้จากใครสักคน เธอรีบหลบสายตาคมนั่นก่อนจะลุกไปเข้าห้องนอนโดยที่มีสายตาของอคิราห์มองตามด้วยความเป็นห่วง ท่าทีเหนื่อยล้าของศศินาทำให้อคิราห์รู้สึกไม่สบายใจทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“เจ้าช่างทำให้ข้ารู้สึกแปลกในใจบ่อยนักแม่หญิง…”
