พระเอกหลงยุค

125.0K · จบแล้ว
เพลิงนารา /zabzeed
47
บท
4.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

อยู่ดีๆพระเอกในนิยายที่อ่านก็ทะลุมิติออกมานอนอยู่ข้างๆ ระหว่างเลี้ยงดูกับหาวิธีส่งกลับโลกเดิมเราควรเลือกอะไรก่อนดี...

นิยายรักโรแมนติกแม่ทัพนางเอกเก่งข้ามมิติต่างโลกโรแมนติกนิยายย้อนยุคผู้ชายอบอุ่น

1 ร้านเก็บเวลา

“หนู ดูสร้อยมั้ยลูก ป้าถักเองทุกเส้นเลยนะขายไม่แพงหรอก ลองเข้ามาดูก่อนก็ได้ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร”

เสียงของแม่ค้าแผงลอยที่ตั้งอยู่ริมทางเดินเท้าเรียกสายตาศศินาให้หันไปมองอย่างไม่อาจปล่อยผ่าน เธอมักจะรู้สึกไม่ดีหากใครตั้งใจพูดด้วยแล้วเมินไปทั้งที่บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร เพราะความจริงเธอก็แค่มาเดินเล่นไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรอยู่แล้ว และคนขายของก็คงเรียกแบบนี้ทุกคนเพื่อหาโอกาสในการขาย ถึงจะรู้แบบนั้นแต่ศศินาก็ยังหันไปยิ้มให้และเดินเข้าไปดูอยู่ดี

“ตามสบายเลยนะหนู สนใจเส้นไหนก็ถามได้ป้าให้ราคาพิเศษเลย”

“ค่ะ”

ศศินากวาดตามองบรรดาเชือกถักที่สีสันและลวดลายต่างกันไปแทบไม่มีซ้ำ ก่อนจะสะดุดตากับเส้นที่เป็นเชือกสีดำเล็กๆตรงกลางมีจี้เงินรูปพระจันทร์เสี้ยว ดูเรียบๆแต่ก็น่ารักจนต้องหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ พระจันทร์ก็คือความหมายของชื่อเธอ และเป็นสิ่งที่เธอชอบที่สุดด้วยเหมือนกัน

“ชอบอันนั้นเหรอลูก”

“ค่ะ”

ศศินาตอบก่อนจะส่งไปให้แม่ค้าใส่ถุงผ้าเล็กๆให้ ไม่ได้คิดถามราคาเพราะรู้ว่างานฝีมือแบบนี้ต้องใช้เวลาและความตั้งใจมากๆ หากไม่ได้แพงเกินจริงเธอก็ยินดีจ่าย

“อันนี้ป้าแถมให้นะลูก พอดีมันเหลือเส้นเดียวเหมือนกันเผื่อหนูอยากเอาไปฝากแฟน”

“คือ ไม่ต้องก็ได้ค่ะป้าหนูเอาอันเดียวพอค่ะ”

ศศินาปฏิเสธตอนที่ยื่นเงินไปแล้วแม่ค้าส่งถุงมาให้ แต่ก็ไม่ทันเพราะคนขายได้ยัดใส่ถุงมาให้เธอเรียบร้อยแล้ว

“รับไปเถอะลูก ป้าทำเองไม่ได้ขาดทุนมากมายอะไรหรอก เอาไว้ผ่านมาคราวหน้าก็แวะมาอุดหนุนกับบ้างก็พอ”

“ขอบคุณค่ะ จะบอกให้เพื่อนๆที่ทำงานแวะมานะคะ”

ศศินาก้มหัวขอบคุณก่อนจะเดินออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ สองเท้าพาตัวเองเดินไปเรื่อยๆบนทางเท้าที่เริ่มคึกคักขึ้นทุกทีเพราะเป็นเวลาใกล้มืดแล้ว แสงไฟที่เปิดตามร้านต่างๆส่งให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากขึ้น คนที่เพิ่งเลิกจากงานต่างพากันทยอยมาที่ตลาดนี้เรื่อยๆเพื่อหาของกินและนัดพบปะสังสรรค์ก่อนจะได้หยุดยาวสามวัน ศศินาเองก็ตั้งใจว่าจะหาอะไรกินแล้วกลับไปห้องทีเดียวเลย ถ้าเป็นวันหยุดก็อาจจะทำอาหารกินเองบ้าง แต่ถ้าเหนื่อยมากก็ซื้อกินเพื่อประหยัดเวลาตัวเองด้วย

พอมองเห็นคนอื่นเดินกันกับเพื่อนๆก็อดจะอิจฉาไม่ได้ เพราะพอเข้าวัยทำงานแล้วก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนที่เคยสนิทอีกเลย ยิ่งโตก็ยิ่งรู้สึกว่าการอยู่คนเดียวมันสบายใจกว่าเยอะเลยจริงๆ

และก่อนที่จะได้ออกมาจากย่านนั้น สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร้านขายของเก่าที่ชื่อแปลกๆว่า ‘เก็บเวลา’ ศศินาตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านอย่างสนใจ ตึกแถวเก่าๆที่ไม่ต่างจากร้านข้างเคียงแต่บรรยากาศกลับดูแตกต่าง แค่ก้าวเข้ามาในร้านก็ได้ยินเสียงดนตรีที่ดังคลอเบาๆ เป็นเสียงที่ศศินาก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเครื่องดนตรีชนิดไหนรู้แต่ว่ามันเพราะมากแม้ไม่มีเสียงนักร้องก็ตาม รู้สึกผ่อนคลายพอๆกับกลิ่นดอกไม้ที่หอมอ่อนๆฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไปในร้าน ทั้งที่มีแต่ของเก่าแต่กลับไม่มีกลิ่นเหม็นอับอย่างที่ควรจะเป็น ศศินาสูดกลิ่นนั้นก่อนจะยิ้มบางๆเพราะถูกใจ อยากรู้เหลือเกินว่าใช้กลิ่นอะไรเธออยากเอาไปไว้ในห้องบ้าง มันสดชื่นแล้วก็ผ่อนคลายมากๆ

“ดูตามสบายเลยนะลูก สนใจชิ้นไหนก็ถามราคาได้”

น้ำเสียงใจดีจากคุณลุงที่อยู่ตรงโต๊ะกลางร้านดังขึ้น ศศินาหันไปยิ้มให้ก่อนจะหันมาสำรวจของในร้านต่อ มีตั้งแต่ชิ้นใหญ่มากๆอย่างพวกโต๊ะเก้าอี้ ตู้ไม้เก่าๆที่มีแกะสลักลวดลายสวยงาม เครื่องเรือนที่ศศินารู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง โมบายหลายชนิดที่แขวนอยู่บนเพดานส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เสียงทั้งหมดรวมกันกลับไม่น่ารำคาญเลยสักนิด

กลับกัน ศศินารู้สึกลืมไปด้วยซ้ำตั้งแต่เข้ามาในร้านนี้ว่าเธอกำลังอยู่ในตลาดที่มีคนพลุกพล่านขนาดไหน ความเงียบสงบที่โอบล้อมรอบตัว กำลังดึงให้ศศินาหลุดเข้าไปในโลกของบรรดาข้าวของที่ถูกนำมาขายต่อด้วยความเพลิดเพลิน ร่างบางเดินไปเรื่อยๆจนถึงของชิ้นเล็กๆที่เป็นของตกแต่ง

จนเมื่อเห็นกล่องไม้เล็กๆที่ด้านบนแกะสลักลวดลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวและพระอาทิตย์คู่กัน ศศินาถึงได้หยิบขึ้นมาดูด้วยความสงสัยเพราะปกติพระอาทิตย์กับพระจันทร์มักไม่ได้ถูกจับให้คู่กันแบบนี้ มือบางลูบกล่องไม้ที่ถูกขัดอย่างดีจนเรียบกริบไร้รอยสะดุด ลวดลายแกะสลักก็ไร้ที่ติจนสงสัยว่าเจ้าของคนก่อนไม่เสียดายแย่หรือไงที่เอามาขายต่อแบบนี้

“นั่นเป็นกล่องดนตรีนะ ลองเปิดฝาดูสิลูก”

“มันยังดังอยู่เหรอคะ”

ศศินาหันกลับไปถามด้วยความแปลกใจ คุณลุงที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านทำเพียงยิ้มให้แล้วพยักหน้าเบาๆเท่านั้น ศศินาเลยค่อยๆเปิดฝามันออกแล้วบิดตัวไขลานที่อยู่ด้านข้างกล่อง จากนั้น เสียงดนตรีที่ทำให้ศศินาเหมือนถูกหยุดเวลาก็ดังขึ้นตามกลไกที่ถูกสร้าง แม้ในร้านจะมีเสียงอื่น แม้ภายนอกจะเสียงดังแค่ไหน แต่ตอนนี้ศศินากลับได้ยินเพียงเสียงดนตรีจากกล่องไม้เท่านั้น

“ชอบมั้ย ลุงว่าเสียงมันเพราะดีนะแต่ไม่มีใครซื้อไปสักที สงสัยมันจะเก่าเกินไป เดี๋ยวนี้คงมีกล่องดนตรีสวยๆเยอะแยะ ไม้ธรรมดาคงสู้ไม่ได้เนอะ”

ศศินาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคุณลุงพูดขึ้น เผลอเหม่ออยู่นานจนไม่รู้ว่าเสียงดนตรีหยุดไปตอนไหน เธอปิดมันลงก่อนจะถือเดินไปหาคุณลุงแบบไม่ต้องคิด ก็แค่รู้สึกชอบและไม่อยากทิ้งมันไว้ที่นี่เท่านั้นเอง

“หนูขอซื้ออันนี้ค่ะ”

“ได้สิ ลุงว่ามันก็น่าจะรอหนูมานานเลยนะ”

—--

“ศิส่งงานไปให้ดูแล้ว พี่ช่วยตรวจให้หน่อยนะคะว่าโอเคมั้ย ถ้าจะแก้ยังไงก็บอกได้ค่ะ”

“โอเคศิ พี่ว่าระดับศิคงไม่ต้องแก้หรอก ใช้วันหยุดให้คุ้มเถอะไว้ว่างๆพี่ไปเที่ยวหานะ”

“ได้ค่ะพี่เจน”

ศศินากดวางสายจากรุ่นพี่ที่เคยเป็นพี่รหัสในสมัยเรียน เป็นคนเดียวที่พอจะติดต่อกันอยู่บ้างแต่ทั้งหมดก็เพราะเรื่องงาน ศศินาเป็นพนักงานประจำในบริษัทดังมาหลายปีตั้งแต่เรียนจบ แต่ก็รับงานออกแบบเว็บไซต์เป็นงานเสริมบ้างตามแต่จะมีเวลาพอ และส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่คนนี้ที่หางานมาให้บ่อยๆ ด้วยความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปี ศศินาเลยเป็นตัวเลือกต้นๆเวลาที่คนอยากจ้าง แต่เธอก็เลือกแค่งานที่อยากทำจริงๆเท่านั้นไม่ได้รับเพราะร้อนเงิน

อะไร

ก็เหลือตัวคนเดียวแล้ว จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนลืมใช้ชีวิตได้ยังไง เงินสำคัญก็จริงแต่ความสุขในชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน เธอต้องใช้ชีวิตที่เหลือให้ดีที่สุดเพราะวันนึงที่ไปเจอครอบครัวอีกครั้งจะได้เจออย่างภาคภูมิใจว่าใช้ชีวิตมาดีแล้ว

“วันนี้พระจันทร์เต็มดวงนี่นา แต่มองไม่ชัดเลยแฮะ”

พึมพำอยู่คนเดียวเพราะเห็นว่าบนฟ้าคืนนี้มีพระจันทร์ลอยอยู่ แต่บนตึกสูงกลางเมืองใหญ่แบบนี้ ถึงจะเห็นก็ไม่ชัดเหมือนตอนเธอเด็กๆที่มองดูนอกลานบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดอยู่ดี ศศินาเอามือถือมาซูมแล้วถ่ายเก็บไว้เหมือนเคย ก่อนจะเปิดกล่องดนตรีที่ซื้อมาหมุนให้มันบรรเลงอยู่แบบนั้นแล้วก็มองพระจันทร์ที่ไม่ชัดนั่นไปด้วย

จนเมื่อเริ่มดึกถึงได้ย้ายตัวเองมาที่เตียงแล้วอ่านหนังสือนิยายครึ่งที่เหลือ ตั้งใจว่าจะอ่านแค่ไม่กี่บทแต่ดันอ่านจนจบแบบที่ห้ามตัวเองไม่ได้ทุกที ความเพลียที่สะสมมาทั้งวันทำให้เธอเริ่มลืมตาไม่ขึ้น ฝนด้านนอกเริ่มโปรยปรายลงมาและตกหนักขึ้นในเวลาไม่นาน สร้างบรรยากาศให้รู้สึกง่วงกว่าเดิม

มือบางหยิบกล่องดนตรีมาหมุนแล้ววางไว้บนหนังสือที่อ่านจบตรงโต๊ะหัวเตียงให้มันเล่นกล่อมอีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาไม่นาน แล้วเมื่อกล่องดนตรีนั้นหยุดลงกลไกที่นิ่งก็หมุนย้อนกลับอีกครั้งด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติหลายเท่า ท่ามกลางพายุฝนที่กระหน่ำลงมาและเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง แสงสว่างวาบพาดผ่านกระจกเข้ามาจนกระทบลงบนกล่องดนตรีพอดิบพอดี

ก่อนทุกอย่างจะนิ่งสนิทราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หากไม่ใช่ว่าบนเตียงนั้นไม่ได้มีเพียงศศินานอนอยู่คนเดียวอีกแล้ว….