7เมื่อความหล่อทำให้ลำบาก
“ข้าจำเป็นต้องใช้มันจริงๆหรือแม่หญิง”
“จำเป็นมากค่ะ คุณอยู่มาเป็นอาทิตย์แล้วและฉันก็งานยุ่งมากๆถ้าติดต่อคุณไม่ได้จะยิ่งไม่สบายใจ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตที่นี่ให้ได้ก่อน”
ศศินาบอกแกมบังคับเพราะอคิราห์ทำท่าไม่อยากจับมือถือที่เพิ่งซื้อมาให้ ราวกับกลัวว่ามันจะกัดมือยังไงยังงั้น วันเสาร์ที่สองเวียนมาถึงอีกครั้ง ตั้งแต่ที่อคิราห์มาก็นับได้ว่าครบอาทิตย์แล้วพอดี จนป่านนี้ก็ยังหาสาเหตุและวิธีแก้ไขกันไม่ได้
ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าศศินางานยุ่งมากจนแทบแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย เธอต้องทำงานที่บริษัทล่วงเวลาทุกวัน แถมยังต้องรีบทำงานนอกที่รับมาจากเจนจิราให้เสร็จภายในอาทิตย์หน้าอีกด้วย ก็เลยยุ่งจนหัวหมุนและพักเรื่องอคิราห์เอาไว้อย่างไม่มีทางเลือก แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรีบสอนเรื่องอื่นๆที่จำเป็นให้อคิราห์ไปด้วยวันละเล็กวันละน้อย เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะได้กลับไปโลกนั้นเมื่อไร เจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้นั่งซึมบ่อยๆเหมือนตอนแรกแล้ว
เพราะนอกจากทีวี ศศินาก็ยังสอนให้อคิราห์ใช้โน๊ตบุ๊กและหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเป็นบ้างนิดหน่อยแล้วด้วย พอมีอะไรให้เรียนรู้เจ้าตัวก็จดจ่อจนไม่ได้มาสนใจศศินามากนัก เห็นว่าพยายามค้นข้อมูลการหาวิธีกลับไปโลกตัวเองอยู่ทั้งอาทิตย์ ติดที่ไม่ได้อะไรมาหรอกนอกจากเรื่องหลอกลวงในโลกโซเชี่ยลเท่านั้น
“ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น ข้าก็จะพยายามดู”
ไอ้ท่าทางเหมือนไม่อยากใช้แต่จ้องไม่วางตาเพราะความตื่นเต้นนั่น มันน่าหมั่นไส้ปนเอ็นดูจนศศินาต้องกลั้นขำ อยู่มาสักพักก็ได้รู้ว่าอคิราห์ค่อนข้างวางมาดเก่งพอสมควร ในนิยายบอกเพียงเป็นคนที่เคร่งขรึมจริงจังเท่านั้น แต่ตอนนี้ศศินาเห็นเพียงเด็กตัวโตที่กำลังสนใจของเล่นชิ้นใหม่มากกว่า
“อีกอย่างนะคะ คุณต้องหัดพูดให้เหมือนคนที่นี่ซะก่อนเวลาออกไปไหนจะได้ไม่แปลกเกินไป”
“ไยข้าต้องพูดแบบเจ้าด้วย อีกอย่างข้าต้องออกไปไหนด้วยหรือ”
“ก็เห็นบอกว่าเมืองที่นี่ดูน่าสนใจเลยว่าจะพาไปพรุ่งนี้ หรือถ้าคุณไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรค่ะไม่ได้บังคับ”
“ยะ อยากสิ ข้าอยากไปดูกับตานักว่าเมืองเจ้าเป็นเหมือนที่ข้าเห็นในจอนั่นหรือไม่ ข้าว่ามันน่าสนใจและอยากเอาไปบอกพ่อข้าให้ปรับเปลี่ยนที่เมืองข้าดูบ้าง”
ท่าทางรีบพูดจนตะกุกตะกักนั่นก็น่าเอ็นดูไม่น้อยจนศศินาแอบยิ้ม พอเห็นคนเคร่งขรึมหลุดมาดแบบนี้ก็อยากจะขำออกมาจริงๆ
“งั้นคุณก็ต้องเปลี่ยนการพูดก่อนเลยค่ะ ถ้าไปเดินข้างนอกคนจะหาว่าคุณสติไม่ดีที่พูดไม่เหมือนคนอื่นแบบนี้ ไหนลองพูดดูสิคะ”
“ข้า ข้าต้องพูดอะไรหรือ”
อคิราห์ถามอย่างประหม่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้สึกเขินอายแบบนี้มาก่อนเลย ต้องทำอะไรที่ไม่คุ้นเคยนี่มันยากจริงๆ
“เปลี่ยนจากการเรียกตัวเองว่าข้า มาเป็นผม”
“ผมหรือ”
“ใช่ค่ะ แล้วเรียกคนอื่นว่าคุณแทนเจ้า”
“คุณ”
“ดีมากค่ะ งั้นลองพูดว่า…พาผมไปข้างนอกหน่อยได้มั้ยครับ”
“พาผมไปข้างนอกหน่อย ได้มั้ยครับ…”
“...”
แย่แล้ว ศศินาคิดไว้แค่ว่าจะสอนให้อคิราห์พูดปกติ แต่ไม่คิดว่าการพูดปกติแล้วกัดปากด้วยความเขินอายนั่น มันจะมีผลกับใจเธอจนต้องเบือนหน้าหนีแบบนี้
“ข้าพูดไม่ถูกหรือ ไยเจ้าเงียบไปเช่นนั้น”
“เปล่าค่ะ คุณพูดถูกแล้ว จากนี้ก็ฝึกให้ชินนะคะจะได้ไม่หลุดตอนอยู่ข้างนอก ดูวิธีพูดจากในทีวีก็ได้คนที่นี่พูดแบบนั้นเหมือนกันหมดนั่นแหละค่ะ”
“ได้ ข้า.. เอ่อ ผมจะพยายามนะครับ”
ศศินาพยักหน้าก่อนจะรีบหนีไปเข้าห้องตัวเองเพราะอาการใจสั่นมันรุนแรงขึ้นจนควบคุมไม่ได้ ก็แค่อคิราห์เปลี่ยนวิธีพูดเท่านั้นทำไมความรู้มันถึงได้แตกต่างจากเดิมขนาดนี้ เธอต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
—--
“คนเยอะขนาดนี้เลยหรือ”
“เปลี่ยนจากหรือเป็นเหรอดีกว่าค่ะ”
“คนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ…คุณ”
“ใช่ค่ะ เยอะมากแบบนี้ทุกวัน ถ้าคุณอยากได้อะไรหรือว่าอยากกินอะไรบอกเลยนะคะเดี๋ยวซื้อให้”
ศศินาบอกอย่างใจดี ขณะที่อคิราห์กำลังตื่นคนจนเดินเกร็งไปหมด และไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงได้เอาแต่จ้องเค้าขนาดนี้ ศศินาเองก็เพิ่งนึกได้ว่าอคิราห์นั้นเด่นจนไม่ควรมาเดินท่ามกลางผู้คนในตลาดแบบนี้จริงๆ ทั้งรูปร่างหน้าตา จะบอกว่าเป็นดาราก็ไม่แปลกเลย
“วันนี้คุณใจดีกับผมมากครับ”
อคิราห์บอกพลางยิ้มออกมาจนผู้คนแถวนั้นตะลึงค้างกันเป็นแถว ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเพราะมัวแต่เกร็งกับการพูดแบบใหม่อยู่ด้วยซ้ำ เป็นศศินาที่ทนความสนอกสนใจของผู้คนไม่ไหวจนต้องรีบคิดวิธีที่จะไม่ต้องเดินต่อ
“ใช่ค่ะ วันนี้ใจดีเป็นพิเศษ เดี๋ยวพาคุณไปกินข้าวร้านที่ฉันชอบดีกว่า ไว้คนน้อยกว่านี้เราค่อยออกมาเดินใหม่”
“ตามใจคุณเลย…ครับ”
‘โอ้ยยย แกได้ยินมั้ยเค้าพูดกับแฟนเพราะมาก อิจฉาอ่ะ’
‘จริง หล่ออย่างกับตกมาจากสวรรค์ ท่าทางก็ขี้เขิน น่ารักเป็นบ้า อยากได้’
‘สติค่ะสาว แฟนเค้ายืนหัวโด่อยู่นั่นเพ้อเอาอะไรก่อนนน’
‘แหม่ ขอเพ้อนิดนึงก็ไม่ได้เนอะ แต่หล่อเกิน กูจะบ้า’
เสียงพร่ำเพ้อของกลุ่มเด็กสาวที่ยืนไม่ไกลดังเข้าหูของศศินาทุกคำจนหน้าร้อนไปหมด แฟนบ้าบออะไรกัน นี่มันตัวภาระตัวโตของเธอชัดๆ อีกอย่างพ่อพระเอกนี่ก็มีนางเอกตัวจริงอยู่ที่โลกนู้นอยู่แล้วไม่มีทางเป็นของเธอได้หรอก แต่เรื่องหล่อก็ไม่เถียง พ่อคุณเค้าหล่อเกินคนจริงๆ แค่ออกมาเดินแป้บเดียวยังทำสาวๆยืนเพ้อได้ขนาดนี้เลยนั่นแหละ เฮ้อ น่าหมั่นไส้เหลือเกิน
“ไหนคุณบอกว่าคนที่นี่พูดเหมือนกัน ทำไมผมถึงฟังที่คนอื่นพูดไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ”
“พวกเด็กๆเค้าก็มีภาษาเฉพาะไว้พูดเล่นกันน่ะค่ะ คุณไม่ต้องสนใจหรอกมันไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่ รีบตามฉันมาเถอะ”
ศศินาจับข้อมืออีกคนเดินอย่างรีบๆเพราะตกเป็นเป้าสายตามากเกินไป ขณะที่อคิราห์กำลังตื่นตกใจกับการถูกเนื้อต้องตัวของศศินาจนเดินแข็งทื่อกว่าเดิม อย่าว่าแต่เคยถูกเนื้อต้องตัวแม่หญิงคนไหนมาก่อนเลย เข้าใกล้เกินหนึ่งเมตรยังไม่เคยด้วยซ้ำ เรียกว่าศศินาเป็นคนแรกที่ได้ใกล้ชิดแบบนี้ ทำเอาอคิราห์ประหม่าไปหมด แถมยังใจสั่นแปลกๆอีกต่างหาก
เช่นนี้เค้าต้องรับผิดชอบแม่หญิงศศินาที่เสียหายแล้วหรือไม่
“นี่เรียกอะไร..เหรอครับคุณ”
“ไอศกรีมค่ะ เป็นของหวานเหมือนขนมแต่นำมาแช่แข็ง ทำมาจากกะทิ น้ำตาล จริงๆมีหลายแบบมากๆไว้ถึงห้องแล้วค่อยไปดูวิธีทำก็ได้ค่ะถ้าคุณสนใจ”
ศศินาอธิบายเมื่อจบมื้ออาหารแล้วสั่งไอศกรีมมากินต่อ จำได้ว่าอคิราห์เคยถามว่าคืออะไรเลยสั่งมาให้ลอง พอเห็นท่าทางยิ้มตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นนั่นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้อีกแล้ว ช่างทำให้คนยิ้มตามได้ง่ายซะจริงๆ
“แปลกมากที่ขนมหวานมันแข็งแล้วก็เย็นแบบนี้ ข้า เอ่อ ผมว่าหากเป็นหน้าร้อนคงช่วยให้หายร้อนได้มากเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ ขนมในหน้าร้อนส่วนใหญ่จะใส่น้ำแข็งหมดเลย แต่จริงๆที่นี่ก็ร้อนตลอดปีอยู่แล้ว”
“จริงครับ ที่นี่ร้อนมาก ที่เมือง เอ่อ ที่ผมอยู่ไม่ได้ร้อนแบบนี้”
“ดีจังค่ะ ฉันเองก็ไม่ชอบอากาศร้อนเลย”
ศศินาบอกแม้จะรู้อยู่แล้วว่าในเมืองที่อคิราห์อยู่นั้นเป็นเมืองทางเหนือที่อากาศเย็นเกือบทั้งปี ตอนเธออ่านยังรู้สึกชอบจนอยากเข้าไปอยู่ในนั้นเลยด้วยซ้ำ
“อร่อยมั้ยคะ”
“ครับ อร่อยมาก”
“มีอะไรที่คุณอยากได้ หรือว่าอยากกินอีกมั้ยคะ”
“พอแล้วครับ ผมเกรงใจคุณมากวันนี้คุณใช้เงินไปเยอะแล้ว”
อคิราห์บอกพลางทำหน้าหม่นลงเพราะรู้สึกไม่ดีที่ต้องให้ศศินาเป็นคนดูแลทุกอย่างแบบนี้ เกิดมายังไม่เคยต้องให้ใครมาเลี้ยงแบบนี้เลย
“ไม่ต้องคิดมากค่ะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ลำบากอะไร งั้นเดี๋ยวเราไปเดินเล่นข้างนอกกันดีกว่า ถ้าไม่มีอะไรที่อยากซื้อแล้วก็กลับห้องกันดีมั้ยคะ”
“ครับ”
อคิราห์พยักหน้ารับ พอศศินายืนยันว่าเต็มใจก็รู้สึกดีขึ้นมากจนยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ในใจกลับยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมศศินาถึงได้ใจดีกับคนแปลกหน้าที่มาทำให้ต้องเดือดร้อนได้ขนาดนี้กัน
“อาทิตย์ก่อนฉันก็เพิ่งมาเดินที่นี่เหมือนกัน ไม่คิดว่าอีกอาทิตย์นึงจะได้พาคุณมาเดินแบบนี้”
ศศินาบอกขำๆ ตอนนั้นยังคิดว่าอิจฉาคนที่มีเพื่อนเดินแต่เธอเดินเล่นอยู่คนเดียว
“คุณมาเดินเล่นที่นี่บ่อยเหรอครับ”
“ไม่หรอกค่ะ แค่ตอนเบื่อๆ”
“แล้วมาที่นี่คุณชอบซื้ออะไรเหรอครับ”
“ไม่ได้ซื้อหรอกค่ะ เดินเล่นเฉยๆถ้าเจอของที่อยากได้ก็ซื้อ เอ๊ะ!”
ศศินาชะงักเมื่อพูดถึงเรื่องซื้อของ สายตาหันไปเจอร้านสร้อยถักที่เธอมาซื้อไปคราวก่อนพอดีจนนึกเอะใจ เธอเคยถามอคิราห์ว่ามีเรื่องอะไรหรือของอะไรแปลกๆถึงได้มาโผล่ที่นี่ แต่เธอกลับลืมนึกไปว่าวันนั้นเธอเองก็มีของที่แปลกๆไปเพิ่มในห้องแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกัน มีสร้อยถักสองเส้น และกล่องดนตรีจากร้านขายของเก่าอีกอัน
ศศินาเบิกตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ ทำไมสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอไม่เคยนึกถึงมันเลยนะ ทั้งที่วางอยู่ข้างเตียงแท้ๆ
“คุณ..เป็นอะไรครับ”
อคิราห์หยุดเท้าตามพลางก้มลงมองหน้าศศินาด้วยความแปลกใจ ท่าทางที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้อคิราห์รู้สึกตกใจไปด้วย
“เราต้องรีบกลับห้องเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
