5 เพราะเคยรู้สึกจึงเข้าใจ
“คุณใส่อะไรออกมาเนี่ย!”
ศศินาแทบกรี๊ดเมื่อเห็นว่าอคิราห์ใส่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวออกมา ร่างกายใหญ่โตที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเลยแทบจะเปลือยอวดสายตาเธออยู่แล้ว ศศินารีบดึงสายตากลับมาทั้งที่ใจเต้นโครมครามอย่างควบคุมไม่ได้ เธอคิดว่าตัวเองมีภูมิต้านทานคนหน้าตาดีพอสมควรเลยนะ แต่ทำไมกับอคิราห์ถึงได้ทำให้เธอเสียอาการบ่อยขนาดนี้ก็ไม่รู้ ต้องเป็นเพราะเธออ่านเรื่องของอคิราห์มานานเลยเผลอจินตนาการถึงพ่อพระเอกนี่มาเยอะเกินไปแน่ๆ เจอตัวจริงเลยต้านไม่ไหวแบบนี้
ศศินาดื่มน้ำแล้วกระแอมกระไอปรับสีหน้าท่าทางใหม่ จำต้องหันกลับมาหาตัวต้นเหตุอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอเลยต้องบังคับสายตาให้อยู่ที่หน้าหล่อๆนั่นแทนร่างกายอีกคนตลอดเวลา
“ทำไมคุณไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนออกมา แต่งตัวแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย”
“อยู่ที่เรือนข้าก็นุ่งเพียงโสร่งเท่านั้น แต่ไม่ได้เล็กถึงเพียงนี้ต่างหากเล่า”
“ก็นั่นมันเรือนคุณแต่นี่ไม่ใช่ไง โอ้ย!อยากจะบ้า คุณต้องใส่ทั้งหมดที่ให้ไปให้เรียบร้อยเข้าใจมั้ย”
“ข้าก็อยากทำอย่างนั้นนะ แต่เจ้าให้สิ่งที่ยากแก่ข้ามาเสียแล้ว ข้าดูอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าต้องเอาด้านไหนไว้ตรงหน้าเจ้าเข้าใจหรือไม่”
อคิราห์บ่นพลางชูเสื้อผ้าไปมาตรงหน้าด้วยใบหน้าที่หงุดหงิดเล็กน้อย ใครอยากจะมาอวดร่างกายให้แม่หญิงนี่ดูกัน ข้าแค่ใส่ไม่ถูกเท่านั้นแหละ
“คือสอนทุกอย่างเข้าใจหมด ฉันก็ไม่คิดว่าต้องสอนคุณยันการใส่เสื้อผ้านี่นา เฮ้อ..เอาเถอะ มานี่เดี๋ยวจะบอกให้”
ศศินาถอนหายใจก่อนจะละมือไปสอนอย่างช่วยไม่ได้ เธอเดินไปแย่งเสื้อผ้ามาถือเองก่อนจะชูเสื้อกับกางเกงขึ้นแล้วทาบให้อคิราห์ดูว่าควรใส่ด้านไหนไว้ข้างหน้า ตอนซื้อก็คิดแค่ว่าไม่มีลายเลยน่าจะดีกว่าดันกลายเป็นดูไม่ออกว่าแถบไหนหน้าหลังซะงั้น แปลกคนจริงๆ
“เอานี่ไว้ด้านนี้ แล้วก็นี่ไว้ข้างหน้าแบบนี้เข้าใจมั้ยคะ”
ศศินาเงยหน้าถามอีกที พอยืนอยู่ใกล้ๆแบบนี้ถึงได้รู้ว่าเธอสูงแค่ปลายคางของอคิราห์เท่านั้น ทำไมพ่อพระเอกนี่ถึงได้ตัวสูงใหญ่ขนาดนี้กันนะ
“อ้อ อย่างนี้เองหรอกหรือ ข้าเข้าใจแล้ว”
อคิราห์พยักหน้าเบาๆก่อนจะรับเสื้อมาแล้วสวมก่อนทันที พอเสื้อยืดสีขาวไปอยู่บนตัวพ่อพระเอกคนงามแล้วศศินาก็พลันใจสั่นขึ้นมาอีกรอบเพราะความดูดีแบบขี้โกงนั่น ออร่าตัวเอกนี่มันน่าอิจฉาจริงๆให้ตายเถอะ
“งั้นก็รีบใส่ให้เสร็จเถอะค่ะอย่ายืนแบบนี้นานๆเลย เดี๋ยวเราไปกินข้าวกันที่หน้าทีวีนะ”
บอกเสร็จก็รีบหันกลับไปจัดการกับอาหารที่เหลือต่อ ปล่อยอคิราห์ให้ยืนต่อสู้กับกางเกงอยู่ตรงนั้นเพราะไม่อยากมองไปมากกว่านี้แล้ว จะไล่ไปใส่ในห้องน้ำก็ไม่น่าทันปล่อยเลยตามเลยให้มันจบๆไป
—--
“คุณพอจะจำอะไรได้อีกมั้ยคะ คืนที่คุณหลุดมาที่นี่น่ะ ไม่มีอะไรแปลกๆบ้างเหรอ”
ศศินาเปิดประเด็นเมื่อทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว อคิราห์นิ่งไปก่อนจะส่ายหัวออกมาเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแปลกๆอย่างที่ศศินาถาม
“นอกจากเสียงแม่หญิงสักคนที่ข้าได้ยินก่อนจะหลับ ก็ไม่มีสิ่งใดแปลกอีกแล้ว ข้ายังคิดว่าข้าฝันไปเท่านั้น”
“มันต้องมีอะไรสักอย่างที่พาคุณมาที่นี่ได้”
“แต่ข้าก็นั่งอยู่ลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งของใดใกล้ตัวเลยนะแม่หญิง”
“แล้วที่ตัวคุณมีอะไรติดมาบ้างมั้ยคะนอกจากเสื้อผ้า อย่างพวกสร้อยคอ แหวนอะไรแบบนี้”
ศศินาถามพยายามหาที่มาของเรื่องแปลกประหลาดให้ได้ไวที่สุด เพื่อจะได้รีบแก้ไขและส่งอคิราห์กลับไปที่เดิม
“จะว่าไปข้าก็ไม่มีอะไรติดมาเลยนอกจากชุดที่ข้าใส่ ต้องมารบกวนแม่หญิงเช่นนี้ข้าละอายใจนัก หากอยู่ที่เรือนข้าก็คงได้ตอบแทนเจ้าบ้างแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันไม่ได้ลำบากอะไร ตอนนี้แค่หาวิธีให้คุณกลับไปได้เหมือนเดิมก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้สึกติดค้างอะไรหรอก”
ศศินารีบบอกเมื่อเห็นว่าอคิราห์แสดงความกังวลออกมาอีกแล้ว ดูท่าพ่อพระเอกนี่คงจะขี้เกรงใจไม่น้อย ถึงจะขี้บ่นไปหน่อยก็เถอะ
“ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็สบายใจ แล้วก็ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยเหลือข้านะแม่หญิง”
“อย่าเพิ่งขอบคุณเลยค่ะ เอาไว้หาทางส่งคุณกลับได้ค่อยขอบคุณก็แล้วกัน”
“แปลกจริง วันนี้ฝนก็ตกหนักเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด แต่ไยข้าถึงได้รู้สึกว่าเรือนของเจ้ามันมองเห็นแต่ฟ้าฝน ไม่เห็นเรือนใกล้เคียงเลยเล่า”
อคิราห์ขมวดคิ้วเมื่อมองไปทางระเบียงห้องที่เป็นกระจกใสแล้วเห็นเพียงสายฝนกระหน่ำลงมา แต่ไร้บ้านเรือนรอบข้างอย่างที่ตัวเองเคยอยู่
“มันจะมีได้ยังไงล่ะคะ ก็นี่มันตึกสูงแถมยังอยู่บนชั้นที่สี่สิบเก้าเลยนะ”
“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าบอกสักนิดแม่หญิง”
อคิราห์ยิ่งขมวดคิ้วงุนงง ทั้งคำว่าตึกสูงและชั้นที่สี่สิบเก้าไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต ศศินาถอนหายใจอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นแล้วกวักมือเรียกให้อคิราห์ลุกตาม
“มานี่ค่ะ เดี๋ยวจะบอกว่ามันคืออะไร ดูท่าคุณยังไม่ได้เดินออกมาดูข้างนอกเลยสินะวันนี้”
“ข้าจะไปเดินสำรวจเรือนเจ้าตามใจได้อย่างไร ข้าไม่กล้าเสียมารยาทขนาดนั้นหรอก”
“ก็ดีแล้วค่ะ ถ้ามาเดินดูเองอาจจะช็อกไปก่อนก็ได้”
“ช็อกคือสิ่งใด มันดีหรือไม่”
“เอ่อ…ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าเรามาดูตรงนี้ละกันฝนตกหนักคงออกไปยืนข้างนอกไม่ได้”
ศศินารูดม่านระเบียงออกกว้างก่อนจะผายมือให้อคิราห์ดูแสงไฟยามค่ำที่เลือนรางเพราะสายฝน แต่ก็ไม่ได้บดบังจนมองไม่เห็นเพราะยังพอมองไปตึกรอบๆได้ในระยะนึง เธอมาอยู่ในย่านใจกลางเมืองที่ราคาคอนโดค่อนข้างแพงพอสมควร เพราะเงินมรดกและเงินจากการทำงานมาหลายปี ทำให้ศศินาสามารถซื้อที่อยู่ที่ตอบโจทย์ชีวิตได้อย่างไม่ลำบากนัก อย่างน้อยก็อยากใช้ชีวิตที่เหลือเพียงตัวคนเดียวให้มีความสุขที่สุดก่อนจะจากโลกนี้ไป
“นี่มัน…บ้านเรือนแบบใดกันแปลกยิ่งนัก เจ้าปลูกเรือนขึ้นมาสูงเทียมฟ้าได้เช่นนี้เลยรึแม่หญิง”
“ไม่ได้ปลูกเองซะหน่อย นี่น่ะเรียกว่าคอนโดค่ะคุณ เป็นตึกสูงๆที่มีหลายชั้นมากๆ แต่ละชั้นก็จะแยกเป็นห้องอีกหลายห้อง เพราะงั้นนี่เป็นห้องเดียวที่ฉันเป็นเจ้าของ อยู่รวมกับเจ้าของห้องคนอื่นๆในตึกนี้อีกหลายร้อยคนเลยค่ะ ตึกอื่นๆที่คุณมองเห็นนั่นก็เหมือนกัน บางที่ก็เป็นที่ทำงาน ที่เรียน แล้วก็เป็นร้านค้าหลายๆร้านรวมกันเรียกว่าห้างสรรพสินค้า พอจะเข้าใจมากขึ้นมั้ยคะ”
ศศินาอธิบายอย่างใจเย็น เข้าใจว่าสำหรับอคิราห์เรื่องพวกนี้ดูจะแปลกจนเข้าใจยากแน่ๆ
“งั้นเมืองเจ้าก็ไม่มีเรือนแยก ไม่ได้ที่ดินให้ปลูกของกินแบบที่เมืองข้าเลยงั้นหรือ”
“มีสิคะ แต่ที่ในเมืองมันแพงมากๆ คนที่มีเงินเยอะๆก็ซื้อได้หรือถ้ามีบ้านอยู่แล้วก็ไม่ต้องมาซื้อห้องแบบนี้ มันมีที่อยู่หลายแบบมากๆแล้วแต่เราจะสะดวกอยู่ค่ะ บางคนเป็นครอบครัวใหญ่ก็ต้องอยู่บ้านใหญ่ๆ อย่างฉันตัวคนเดียวก็อยู่ห้องแบบนี้สะดวกกว่า ถ้าคุณเรียกว่าเมืองแบบที่คุณอยู่ที่นี่ก็เป็นเมืองที่ใหญ่มากๆมีหลายเมืองเหมือนกับที่คุณอยู่เลยค่ะ มีบ้านเรือนแตกต่างไปแต่ละพื้นที่ด้วยคงต้องอธิบายอีกนานกว่าจะเข้าใจทั้งหมด เอาเป็นว่ารู้ไว้คร่าวๆก็พอถ้าคุณยังไม่กลับไปจะหาแผนที่มาเปิดให้ดูเลย”
“ข้าว่าจะถามเจ้าแต่ก็ลืมเสียทุกทีว่าพ่อแม่เจ้าไยไม่กลับเรือน ปล่อยเจ้าอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่เป็นห่วงแย่หรือ”
อคิราห์ถามในสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่แรกๆเพียงแต่ถูกเรื่องอื่นกลบไปหมดจนไม่เคยได้ถาม
“พ่อแม่ฉันเสียไปหมดแล้วค่ะ ทั้งครอบครัวเหลือแค่ฉันคนเดียวแล้ว”
ศศินาตอบพลางหันไปมองสายฝน ไม่กล้าสบตากับอคิราห์เพราะเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องเดียวที่เธอไม่อยากพูดถึงและยังไม่เคยลืมได้
“ข้าเสียมารยาทแล้ว ต้องขอโทษแม่หญิงด้วยไม่ได้ตั้งใจให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันผ่านมานานแล้ว”
“งั้นเจ้าเคยเหงาบ้างหรือไม่”
“แน่นอนค่ะ กว่าจะอยู่ได้แบบนี้ก็ใช้เวลานานพอสมควรเลย แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วอยู่คนเดียวก็มีความสุขดีค่ะ มีเรื่องให้ทำเยอะแยะจนไม่มีเวลาเหงาเลยก็ว่าได้”
อาจไม่จริงทั้งหมด แต่ก็เป็นเรื่องที่ศศินาบอกตัวเองมาตลอดว่าการใช้ชีวิตให้ยุ่งที่สุด ทำหลายๆเรื่องให้หมดไปวันๆเท่านั้นก็จะไม่มีเวลามาเหงาแล้ว
“เจ้านี่เก่งกว่าผู้ชายอย่างข้าเสียอีกนะ หากเป็นข้าเจอเรื่องแบบนี้บ้างข้ายังคิดไม่ออกเลยว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อ หากไม่มีครอบครัวข้าคงจะเหงาจนอยู่ไม่ได้แน่ๆ”
อคิราห์พูดพลางเหม่อมองสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แสงไฟหลากสีที่เห็นเพียงเลือนรางยิ่งสะท้อนอารมณ์ให้รู้สึกวูบไหว เหมือนมีอยู่แต่ไม่ชัดเจน ความรู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัวที่จากมายิ่งเด่นชัดจนต้องข่มกลั้นอารมณ์ อย่างไรตรงนี้ก็ไม่ได้มีแค่ตัวเอง อคิราห์ไม่คิดว่าการเห็นใจในความโดดเดี่ยวของศศินาจะสะท้อนถึงตัวเองได้เพียงนี้ ป่านนี้ที่เรือนจะเป็นอย่างไรบ้างไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
“ยังไงฉันก็จะช่วยหาทางจนคุณได้กลับบ้านนะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย”
“เจ้ารู้หรือว่าข้าคิดอะไร”
อคิราห์ก้มลงมองหน้าศศินา ดวงตาสวยของเธอเจือแววเศร้าจนวูบไหวในอก ราวกับถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่ากำลังคิดอะไร
“เพราะเคยเป็นมาก่อนถึงได้รู้ไงคะ”
ศศินาบอกพลางหันกลับมามองสายฝนต่ออย่างไม่อาจทนสบตาคู่คมนั้นได้นานกว่านี้ ความโหยหาและหวาดกลัวมันชัดเจนจนเหมือนเห็นตัวเองในวันนั้น วันที่ครอบครัวจากเธอไปไกลแสนไกลตลอดกาล ไม่ชอบเลย ที่ต้องกลับไปนึกถึงความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง
อคิราห์มองใบหน้าด้านข้างของศศินาก่อนจะหันไปมองสายฝนข้างนอกอีกครั้ง ความรู้สึกแย่ๆที่กลบไว้มาตลอดครึ่งวันหวนกลับมาบั่นทอนจิตใจจนอดถามออกมาไม่ได้
“เจ้าว่า…ข้ามีอยู่จริงหรือไม่แม่หญิง”
“คุณหมายความว่ายังไงคะ”
“ก็เจ้าบอกเองว่าข้ามาจากในหนังสือนั่น เป็นเพียงตัวละครที่ถูกเขียนขึ้นมาให้เจ้าอ่าน แล้วเช่นนั้นข้าจะมีชีวิตจริงๆได้อย่างไรกัน”
อคิราห์ถามด้วยน้ำเสียงร้าวลึก ดวงตาคู่คมสั่นไหวยิ่งกว่าเมื่อครู่ เพียงเพราะคิดขึ้นมาว่าตัวเองเป็นเพียงตัวละครที่ถูกสร้างไม่ได้มีอยู่ในโลกจริงๆ ความโหยหาครอบครัวเมื่อครู่ถูกความว่างเปล่ากลบทับจนหวาดกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างมันคือภาพลวงตาไปหมด
“คุณก็ยังมีชีวิตนี่คะ ยังมีลมหายใจเหมือนกับฉัน ไม่ว่าคุณจะมาจากไหนหรือเป็นใครคุณก็คือคนที่มีชีวิตจริงๆค่ะ”
“เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนสิคะ ถ้าเรายังรู้สึกและใช้ชีวิตได้นั่นก็คือของจริง”
“ทั้งชีวิตข้า ไม่เคยรู้สึกกลัวเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับคนขี้ขลาด ข้ากลัวว่าที่ข้าใช้ชีวิตมาทั้งหมดมันจะหายไปโดยที่ไม่มีสิ่งใดเป็นจริงเลย ข้าช่างน่าสมเพชนัก”
อคิราห์สารภาพออกมาอย่างคนที่กำลังอ่อนไหว ทั้งที่ศศินาเป็นเพียงคนแปลกหน้าแต่กลับรู้สึกวางใจที่จะพูดออกมา เพราะรู้สึกได้ว่าศศินาจะเข้าใจความรู้สึกได้ดี และที่นี่อคิราห์ที่เพิ่งเผชิญเรื่องราวยากจะเชื่อหลายอย่างถาโถมทีเดียวไม่มีใครให้รับฟังทั้งนั้น นอกจากศศินาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“คุณไม่ได้น่าสมเพชหรอก คุณก็เป็นแค่มนุษย์ที่มีความรู้สึกถ้าเป็นฉันเจอแบบคุณอาจจะสติแตกยิ่งกว่านี้ก็ได้ อย่าไปกังวลกับเรื่องที่ว่าคุณมีตัวตนอยู่ที่ไหนเลย คิดแค่ว่าจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมยังไงก็พอแล้ว จะอยู่ที่ไหนไม่ว่าคุณหรือฉัน ทุกคนที่มีชีวิตต่างก็เดินไปหาจุดจบเดียวกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ”
“ข้าสับสนไปหมด ทั้งที่กลัวจนแทบบ้าแต่ข้ากลับรู้สึกวางใจเมื่อได้ฟังเจ้าพูด รู้สึกโชคดีที่มาเจอเจ้า…”
ดวงตาคมล้ำลึกยามที่มองสบลงมา ทำเอาศศินารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดจนไม่อาจละไปไหนได้ แต่พอสบไปนานๆใจที่เคยนิ่งสงบกลับสั่นไหวขึ้นมาจนต้องรีบหันหน้าหนี เธอจะหวั่นไหวไม่ได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าเราจะพบเจอกันด้วยสาเหตุอะไรจุดจบก็คือการแยกจาก ศศินาไม่อยากสร้างความผูกพันโดยไม่จำเป็น เธอไม่อยากจากลาใครให้เจ็บปวดอีกแล้ว
“คืนนี้ดึกแล้ว เราไปนอนกันก่อนเถอะไว้พรุ่งนี้ค่อยมาช่วยกันคิดใหม่ คุณนอนที่โซฟานะฉันวางผ้าห่มไว้ให้แล้ว มีอะไรก็เคาะประตูเรียกนะคะ”
ศศินาตัดบท ก่อนจะเดินแยกไปเข้าห้องนอนตัวเองทั้งที่ใจยังไม่สงบเลยสักนิด อคิราห์มองตามก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“ไยเจ้าถึงได้เย็นชาเช่นนี้ ข้าไม่เคยพบแม่หญิงคนไหนเหมือนเจ้ามาก่อนเลย….ศศินา”
