4 เรื่องที่ยากจะทำใจเชื่อ
นิยายเรื่อง หากอาทิตย์ไร้ดาว
ณ เมืองพยับหมอก พ.ศ. 1890
หัวเมืองใหญ่ทางตอนเหนือ มีเจ้าเมืองคือ ท่านเจ้าเมืองศิงขร ชาวเมือง
เรียกท่านเจ้าเมืองสิงห์ และภรรยาคือ ท่านหญิงอรุณ มีลูกชายคนโตชื่อ อคิราห์ หรือ แสง และคนเล็กชื่อ อนาคิน หรือ แสน เป็นครอบครัวที่ปกครองเมืองมานาน ชาวเมืองต่างเคารพนับถือเจ้าเมืองและอยู่กันอย่างสงบร่มเย็นมาโดยตลอด การค้าขายเจริญรุ่งเรือง พืชผลทางการเกษตรก็ไม่เคยขาด ชาวเมืองมีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจเข้าวัดทำบุญและถือศีลกันถ้วนหน้า เรียกว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุขจนใครๆก็อยากย้ายเข้ามาอาศัยทั้งสิ้น
ตั้งแต่สงครามสงบลง หัวเมืองใหญ่ต่างๆก็ปรองดองกันมากขึ้น ส่งตัวแทนเยี่ยมเยียนผูกมิตรกันเป็นประจำทุกปี แลกเปลี่ยนค้าขายกันไม่เคยขาด เมืองไหนส่งลูกหลานหมั้นหมายตกแต่งกันได้ก็ยิ่งมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับรุ่นลูกอย่างอคิราห์ ที่พ่อแม่เตรียมให้หมั้นหมายกับ ดุจดารา ลูกสาวเจ้าเมืองทางใต้ที่เป็นมิตรกันมานาน เพราะท่านหญิงอรุณเองก็เป็นลูกสาวเจ้าเมืองจากเมืองทางตะวันออก การได้ผูกมิตรกับหัวเมืองใหญ่ทางใต้เพิ่มอีกเมืองนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง เพราะหมายความว่าจะขยายอำนาจได้มากขึ้น โอกาสในการเกิดสงครามยิ่งน้อยลงเพราะเป็นเมืองญาติมิตรกัน อคิราห์เองก็ไม่ได้ขัดใจเพราะไม่ได้มีแม่หญิงที่ไหนที่ชอบพอกันอยู่
ตั้งแต่เด็กจนโตอคิราห์ก็ตั้งใจเรียนและสอบจนได้ตำแหน่งใหญ่โตในเวลาไม่นาน ความสามารถทั้งการต่อสู้และฟันดาบก็เป็นที่ยอมรับจนใครๆต่างก็คิดเหมือนกัน ว่าอคิราห์จะต้องได้เป็นเจ้าเมืองคนต่อไปที่มีศักยภาพมากที่สุดเป็นแน่ ไหนจะรูปร่างหน้าตาที่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วอีก ไม่ว่าจะเป็นแม่หญิงจากหัวเมืองไหนต่างก็ไฝ่ฝันจะได้ตบแต่งเข้าเรือนของพ่ออคิราห์ทั้งสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงเสียดายและยอมรับว่าไม่มีวาสนา เพราะพ่อรูปงามนั้นมีแม่หญิงที่เพียบพร้อมไม่แพ้กันเป็นว่าที่คู่หมั้นอยู่แล้ว ก็คือแม่หญิงดุจดารา….
“นี่ข้า…ข้าเป็นตัวละครในนิยายจริงๆหรือนี่”
อคิราห์พึมพำกับตัวเอง มือหนาที่ถือหนังสือนั้นสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ไม่ว่าจะคิดยังไงนี่มันก็เหลือเชื่อเกินไปจนทำใจเชื่อไม่ลง อคิราห์อ่านเรื่องราวในนิยายเพียงแรกๆเท่านั้นข้ามช่วงกลางไปจนถึงตอนจบที่ตัวพระเอกนางเอกครองรักกันตามแบบฉบับนิยายสุขนิยมทั่วไป หนังสือมีความยาวที่น่าจะต้องใช้เวลาอ่านทั้งวันทั้งคืนเห็นจะได้ อคิราห์เลยอ่านเพียงเพื่อหาบทสรุปแค่ที่อยากรู้เท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอ่านทวนให้แน่ใจเท่าไร ทุกตัวละครและสถานที่ในนั้น ก็คือสิ่งที่อคิราห์รู้จักทั้งหมดไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย มันคือชีวิตที่ผ่านมาของอคิราห์แน่ๆ แม้จะยังไม่ได้ดำเนินชีวิตไปถึงตอนจบอย่างในนิยาย แต่ก็คือเรื่องจริงที่ผ่านมาแล้วจนถึงปัจจุบัน จะเป็นไปได้อย่างไรที่ใครจะเอาเรื่องของอคิราห์ไปเขียนเป็นนิยายแบบนี้ อีกอย่างในเมืองที่อคิราห์อยู่ก็ไม่มีทางที่จะมีหนังสือแบบนี้เป็นแน่ แล้วเรื่องราวของเค้า มาอยู่ในหนังสือที่ศศินาเป็นคนอ่านในโลกนี้ได้อย่างไร
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูหยุดความคิดที่วิ่งวนในหัวของอคิราห์ลงอีกครั้ง เจ้าตัววางหนังสือในมือลงบนโต๊ะและรอให้ศศินาเดินเข้ามาหา จนถึงตอนนี้อคิราห์ยังไม่ได้ย้ายตัวเองออกไปจากหน้าทีวีเลยด้วยซ้ำ เรียกว่าทำตามคำสั่งของศศินาอย่างเคร่งครัดเพราะมัวแต่อ่านหนังสือและนั่งสับสนอยู่ตรงนี้มาตลอด
“อ่านจบแล้วเหรอคะ”
ศศินาถามพลางมองหนังสือที่วางอยู่ด้วยความสงสัย อ่านเร็วขนาดนี้มันก็จะเกินไปหน่อย ขนาดเธอรีบอ่านยังใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมงเลย
“ข้าอ่านไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เจ้าถือสิ่งใดมามากมายนัก”
อคิราห์ตอบพลางมองบรรดาถุงข้าวของที่ศศินาถือกลับมาแล้ววางกองอยู่ตรงพื้นข้างโซฟาด้วยความสงสัย
“ก็ของจำเป็นทั้งนั้นแหละ ไม่รู้ว่าคุณต้องอยู่กี่วันนี่นา”
“ข้าจะอยู่นานได้อย่างไร เจ้าเป็นแม่หญิงข้าไม่ควรมาอยู่ลำพังกับเจ้าเช่นนี้”
“ก็ไม่ได้อยากให้อยู่นานหรอก แต่เรายังหาวิธีที่คุณจะกลับไปไม่ได้เลยนี่นา”
ศศินาบอกพลางรื้อถุงหาเสื้อผ้าออกมา เธอซื้อชุดอยู่บ้านที่คิดว่าน่าจะใส่สบายให้อีกคน ไหนจะชุดนอนและชุดชั้นที่แทบจะกลั้นหายใจตอนไปเลือก เกิดมายังไม่เคยไปซื้อชุดผู้ชายมาก่อนเลยแถมยังเป็นชุดชั้นในอีกต่างหาก เธออายพนักงานจนหน้าแดงไปหมดดีที่ไม่มีใครสนใจ
“อ่ะนี่ ฉันซื้อไซส์ที่คิดว่าคุณน่าจะใส่ได้นะ”
“เจ้าจะให้ข้าใส่ชุดประหลาดพวกนี้งั้นรึ”
อคิราห์ถามเสียงสูงพลางมองชุดเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงวอร์มขายาวที่ศศินายื่นให้ด้วยความระแวง ดูยังไงก็แปลกเกินกว่าจะใส่ได้ ศศินากรอกตามองบนกับความเรื่องเยอะของพ่อพระเอกก่อนจะประชดออกมา
“มันก็ดีกว่าชุดโบราณเต็มยศของคุณก็แล้วกัน อยู่ที่นี่ขืนใส่แบบนี้เดินเค้าหาว่าคุณเป็นคนบ้าแน่ๆ”
“เจ้านี่หยาบคายนัก ชุดนี้ต้องใช้เวลาตัดเย็บอยู่กี่เดือนกันเจ้ารู้หรือไม่”
“รู้เจ้าค่ะว่ามันงามมากแล้วก็น่าจะล้ำค่าสุดๆเลยด้วย แต่คุณจะมาใส่ที่นี่ไม่ได้เก็บไว้ไปใส่ที่เรือนคุณนะเจ้าคะ”
ศศินาประชดพลางถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนใจ ไม่คิดว่าจะมาดื้อกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เลย ให้ตายเถอะ
“ข้าไม่ใส่”
“แต่คุณต้องอาบน้ำ ต้องใส่ชุดนี่ด้วยถ้าไม่ใส่ก็เชิญออกไปอยู่ที่อื่นค่ะ”
“นี่เจ้าจะไล่ข้าออกจากเรือนทั้งที่ข้าก็ไม่รู้จักที่นี่งั้นรึ เจ้าจะใจดำเกินไปแล้วนะแม่หญิง”
“ทำขนาดนี้ยังจะว่าใจดำอีกนะ เดี๋ยวก็ไล่ไปจริงๆซะเลยดีมั้ยเนี่ย”
ศศินาบ่นอย่างเหนื่อยใจ พ่อพระเอกนี่มีแต่ความเยอะจนน่าหมั่นไส้ไปหมด หากเป็นคนอื่นที่เค้าเจอพระเอกนิยายออกมาแบบนี้คงได้แต่หลงในความหล่อจนเพ้อแน่ๆ น่าจะมีแต่เธอละมั้งที่รำคาญจนอยากไล่กลับไปเร็วๆซะที หล่อแล้วยังไง เรื่องมากจนน่าหงุดหงิดชะมัด
“แต่ที่นี่แปลกจนข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าวของเครื่องใช้จะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเจ้าอยู่คนละที่กับข้าจริงๆบอกข้าทีว่านี่คือปีพุทธศักราชใด”
“เรียกว่าคนละโลกถึงจะถูกค่ะ แล้วนี่ก็พ.ศ.2567แล้ว”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ! แต่ข้า ข้าอยู่ในปีพุทธศักราช1890เองนะ นี่มันผ่านมาหกร้อยกว่าปีเลยเชียวรึ”
อคิราห์ตกใจกับข้อมูลใหม่ ศศินาถอนหายใจก่อนจะวางเสื้อผ้าไว้เพราะคิดว่าคงต้องจัดการเรื่องนี้ให้ชัดก่อน ดูท่าพ่อพระเอกคงยังไม่เข้าใจจริงๆแน่ว่าตัวเองมาจากที่ไหน คนอุตส่าห์ให้อ่านหนังสือรอแท้ๆ ศศินาถอนหายใจปลงๆก่อนจะเดินกลับไปหาปฏิทินตั้งโต๊ะที่ห้องนอนแล้วกลับมายื่นให้อคิราห์ดู
“นี่ค่ะ หลักฐานว่าคุณมาอยู่ในโลกอนาคตจริงๆ มีอีกหลายอย่างมากที่คุณจะแปลกใจยิ่งกว่านี้อีก แต่ทำความเข้าใจไปทีละเรื่องเถอะเดี๋ยวจะช็อกไปซะก่อน”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”
อคิราห์รับมาดูด้วยมือที่สั่นเทา ตัวเลขที่ปรากฏสู่สายตาคือเครื่องยืนยันว่านี่เป็นโลกในอีกหลายร้อยปีที่อคิราห์ไม่รู้จักจริงๆ ดวงตาคมสั่นไหวพอๆกับใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรงขึ้นอีกหน
“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนคุณนั่นแหละ แต่ทำไงได้ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วนี่”
ศศินาบอกพลางมองอคิราห์อย่างเห็นใจ เข้าใจว่าคงทั้งตกใจและไม่อยากเชื่อ เป็นเธอเจอเรื่องแบบนี้ก็คงเชื่อไม่ลงเหมือนกันยิ่งมาบอกว่าเป็นแค่ตัวละครในนิยายยิ่งดูบ้าไปกันใหญ่ ก่อนจะรู้ว่าอคิราห์เป็นพระเอกในนิยายเธอยังตีอีกคนและคิดว่าเป็นโจรหรือผีอยู่เลย แต่ทั้งหมดมันก็คือเรื่องจริงไปแล้วให้ทำยังไงได้นอกจากยอมรับและหาวิธีแก้
“งั้นเจ้าจะบอกว่า ข้า…ข้าเป็นเพียงตัวละครในนิยายที่ไม่มีตัวตนจริงๆงั้นหรือ”
“คุณ…”
“จะบอกว่า…ที่ผ่านมาข้าอยู่แค่ในโลกสมมุติ…ที่ไม่มีอยู่จริงงั้นหรือ”
“คุณก็รู้ว่าหนังสือคือสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุด คิดว่าเรื่องของคุณจะมาอยู่ในนิยายในโลกนี้ที่ไม่มีใครรู้จักคุณได้ยังไงคะ”
“ข้าใช้ชีวิตมาเหนื่อยแทบตาย พยายามมามากขนาดไหนเจ้ารู้หรือไม่ แล้วอยู่ดีๆข้าก็เป็นแค่ตัวละครที่ไม่มีอยู่จริงเจ้าว่ามันยุติธรรมหรือไม่เล่า”
อคิราห์กำมือแน่น ตาก็จ้องมองหนังสือนิยายบนโต๊ะด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ ต่อให้ไม่ยินยอมขนาดไหนแต่ความเป็นจริงหลายอย่างที่ศศินาพูดก็ยิ่งตอกย้ำ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดคือหนังสือที่เห็นอยู่ตรงหน้า สิ่งเดียวที่ทำให้อคิราห์ปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก แต่ถึงอย่างนั้น เค้าต้องยอมรับความรู้สึกแหลกสลายนี้แต่โดยดีทั้งที่ไม่มีความผิดใดๆงั้นหรือ โลกช่างใจร้ายเกินไปแล้ว
“ช่างเรื่องนั้นมันก่อนเถอะคุณ ตอนนี้คุณไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนดีมั้ย แล้วเดี๋ยวพอกินข้าวเย็นแล้วเราค่อยมาคุยหาวิธีกันต่อ”
ศศินาเปลี่ยนเรื่องพลางส่งชุดให้อคิราห์ เธอไม่ถนัดปลอบใจใครเลย ไม่รู้ด้วยว่าถ้าพูดอะไรไปแล้วจะยิ่งแย่ลงรึเปล่า เพราะเธอก็ถนัดแต่พูดความจริงเท่านั้น และดูจากอาการแล้วอคิราห์น่าจะยังยอมรับไม่ได้และรู้สึกแย่มากพอสมควร ถ้าหากอาบน้ำและกินข้าวอิ่มอาจจะดีขึ้นก็ได้ละมั้ง
“มาทางนี้สิ ฉันจะสอนคุณใช้ห้องน้ำ”
ศศินาบอกก่อนจะลุกเดินนำอคิราห์ที่ยอมลุกตามอย่างว่าง่าย ดูท่าคงกำลังช็อกและน่าจะยังไม่ปกติอีกนาน ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาเรื่องมากให้ปวดหัวตอนนี้ เธอต้องการเวลาในการคิดอะไรนิดหน่อยก่อนจะคุยกันอีกครั้ง
“คุณจำวิธีได้หมดแล้วใช่มั้ยคะ”
ศศินาถามย้ำเมื่อสอนทุกอย่างที่จำเป็นไปหมดแล้ว อคิราห์พยักหน้าแม้จะยังดูเหม่อลอยก็ตาม ดีที่พ่อพระเอกเป็นคนหัวไวมากสอนอะไรก็ทำตามได้ง่ายๆ พอมีเรื่องเครียดก็ดูจะตื่นเต้นกับข้าวของเรื่องใช้น้อยลงจริงๆ ต่างจากเมื่อเช้าลิบลับจนอดจะสงสารไม่ได้
“งั้นคุณอาบตามสบายนะคะไม่ต้องรีบ มีเรื่องอะไรก็เรียกฉันได้”
อคิราห์พยักหน้าอีกหนโดยไม่ตอบอะไร ศศินาเลยเดินออกมาปล่อยให้อีกคนใช้เวลาส่วนตัว อย่างน้อยถ้าอาบน้ำคงจะรู้สึกดีขึ้นได้บ้างละมั้งนะ
เธอรีบไปเก็บของเข้าที่ ก่อนจะเตรียมมือเย็นเป็นอาหารไม่กี่อย่างที่ใช้เวลาไม่นานนัก พอเพลินกับการทำอาหารก็เกือบลืมว่าปล่อยอคิราห์อาบน้ำมานานสองนานแล้ว และขณะที่ศศินากำลังชิมอาหารอย่างสุดท้ายอยู่นั้นเสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำให้ต้องหันไปมองซะก่อน
“เจ้าเอาชุดอะไรมาให้ข้าใส่กัน ไยมันใส่ยากเย็นเพียงนี้เล่า”
“คุณ! แค่กๆๆ”
