3 พระเอกหลงยุค
“แปลกคนเสียจริง”
อคิราห์บ่นขณะที่มองตามศศินาเดินออกไปจากห้องทั้งที่ยังคุยกันไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่ความแปลกของสถานที่ก็ยังคงดึงความสนใจของอคิราห์ให้กวาดตามองไปรอบๆห้องแบบหยุดไม่ได้เช่นกัน พอรู้ว่าศศินาไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหนก็เลยพอวางใจลงบ้าง มือหนาลูบที่เตียงไปมาก่อนจะจับผ้าห่มผืนหนาที่ตัวเองนั่งทับอยู่
“อืม นุ่มมาก ถึงว่าหลับสบายซะจนไม่อยากตื่นเลยทีเดียว ต้องไปบอกให้ช่างทำเครื่องเรือนทำให้บ้างเสียแล้ว ว่าแต่กลิ่นหอมนี่มันออกมาจากที่ใดกัน”
อคิราห์หยิบผ้าห่มขึ้นมาสูดดมก่อนจะหลับตาพริ้มด้วยความพอใจ พอนึกได้ว่านี่ไม่ใช่ของตัวเองก็รีบวางลงพร้อมจัดให้เข้าที่เข้าทางแล้วโดดลงจากเตียงทันที
“แม่หญิงนั่น หายไปที่ใดกันนะ”
ร่างสูงค่อยๆเดินไปทางที่ศศินาเดินหายไปเมื่อครู่ ขณะที่สายตาก็สำรวจทุกอย่างไม่หยุดด้วยความสนอกสนใจปนความตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นไหนที่เห็นก็ไม่มีเหมือนที่เรือนตัวเองสักชิ้นเดียว นอกจากการใช้งานที่เหมือนกันเช่นเตียงเมื่อครู่ กับโต๊ะเก้าอี้ที่เห็นในห้องที่เพิ่งออกมาเจอตอนนี้
“นี่มันคือสิ่งใดอีก ไยถึงประหลาดนัก”
อคิราห์เดินเข้าไปมองจอทีวีติดผนังเครื่องใหญ่ใกล้ๆ เงาสะท้อนจากจอยิ่งทำให้ขมวดคิ้วพลางนึกไปว่านี่คือกระจกที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
“นี่ต้องเป็นกระจกมนต์ดำแน่ๆ แม่หญิงศศินานั่นไม่รู้หรือว่าแบบนี้ไม่เป็นมงคลเสียเลย”
อคิราห์ว่าพลางจับลูบไปตามขอบทีวีจอยักษ์เพื่อหาสิ่งที่คิดว่าอาจจะเป็นสิ่งอัปมงคลได้ ก่อนจะสะดุ้งร้องโวยวายอย่างตกใจสุดขีดเมื่อบนจอสีดำเมื่อครู่ ปรากฏภาพคนและมีเสียงออกมา
“อ๊ากกก ใครกัน! พวกเจ้าเป็นใครถึงได้ใช้คาถาอาคมแปลกประหลาดเช่นนี้ได้ หยุดเดี๋ยวนี้! ข้าบอกให้หยุดได้ยินหรือไม่!”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ คุณเป็นอะไร!”
ศศินาที่ได้ยินเสียงรีบวิ่งออกมาจากห้องครัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมองทีวีที่เปิดอยู่ก่อนจะเห็นว่าอคิราห์มุดตัวหลบอยู่ตรงข้างๆโซฟาก็รีบเข้าไปดูใกล้ๆ
“คุณ ใจเย็นๆก่อนเป็นอะไร”
“เจ้า เจ้าเห็นสิ่งนั้นหรือไม่ เจ้าไม่กลัวมันเลยงั้นรึ”
“กลัวเหรอ กลัวอะไรคะ”
ศศินาถามพลางขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะมองตามนิ้วอีกคนที่ชี้ไปทางทีวีก็เข้าใจได้ในทันที จะกลัวก็ไม่แปลกหรอกนี่มันคงมหัศจรรย์เกินไปสินะพ่อพระเอกหลงยุค
“อ้อ…กลัวทีวีสินะ ไม่ต้องกลัวหรอก นี่เรียกว่าทีวีเอาไว้ดูเฉยๆมันทำอะไรคุณไม่ได้หรอก”
“เอาไว้ดูงั้นรึ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าเกิดมายังไม่เคยพบเห็นมาก่อน นี่มันไม่ใช่คาถาอาคมที่ใครทำใส่เรือนเจ้าหรอกหรือแม่หญิง”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่คาถาอาคมหรือสิ่งเหนือธรรมชาติใดๆทั้งสิ้น ตอนนี้เชิญคุณลุกขึ้นมานั่งรอดีๆก่อนได้มั้ยคะฉันหิวข้าวมาก แล้วเดี๋ยวฉันจะมาอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังเอง แต่ตอนนี้คุณช่วยนั่งรอเฉยๆก่อนอย่าเพิ่งไปแตะต้องอะไรทำ ได้มั้ยคะ”
ศศินาปิดทีวีแล้วหันมาบอกด้วยความอ่อนใจ เธอคิดว่าวันหยุดยาวนี้ของเธอคงได้เหนื่อยแบบไม่จบไม่สิ้นแน่ ไม่ใช่แค่หาคำตอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เธอยังต้องคอยดูแลพ่อพระเอกหลงยุคที่ระแวงทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยนี่สิ จะบ้าตายจริงๆ
“ได้สิ ข้าจะรอตรงนี้ก็แล้วกัน”
อคิราห์ที่เพิ่งได้สติก็ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวยาว ก่อนจะกอดอกวางมาดอีกครั้งเพราะเผลอหลุดกิริยาไปไม่น้อย ศศินาพ่นลมหายใจออกมาพลางพยักหน้าปลงๆ ก่อนจะรีบไปจัดการกับมื้อเช้าที่ทำค้างไว้ต่อ ได้แต่ภาวนาให้อคิราห์นั่งนิ่งอย่างที่ว่าจริงๆซะที ไม่งั้นวันนี้ไม่ต้องได้ทำอะไรกันแน่
—--
“นี่คือสำรับเช้าของเจ้างั้นรึ”
อคิราห์ถามเสียงสูงพลางขมวดคิ้วทันทีที่ศศินาวางถาดอาหารเช้าลงบนโต๊ะหน้าทีวี ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองพลางนิ่วหน้าอย่างไม่วางใจจนศศินามองค้อนด้วยความหมั่นไส้ ไม่บอกก็รู้ว่าพ่อพระเอกหลงยุคนี่กำลังดูถูกข้าวเช้าของเธอ
“ใช่ ทำไมคะคุณมีปัญหาอะไรกับข้าวเช้าที่ฉันอุตส่าห์ทำมาเผื่อคนแปลกหน้าที่บุกรุกห้องแบบคุณงั้นเหรอ”
“ข้าก็แค่ถาม ไยเจ้าประชดประชันเก่งนักเล่าแม่หญิง”
“งั้นก็เลิกถามแล้วกินเถอะค่ะ หิวจะตายอยู่แล้ว”
“เจ้าช่างพูดจาหยาบคายยิ่งนัก หากอยู่ที่เรือนข้า…”
“เกรงว่าตอนนี้คุณอยู่ในเรือนคนอื่นค่ะ จะกินดีๆมั้ยคะ”
ทั้งคำพูดและสายตาที่เต็มไปด้วยความจิกกัดนั่น ทำเอาอคิราห์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอและนั่งตัวตรงทันที
“งะ งั้นก็ขอบใจเจ้ามาก แล้วข้าจะตอบแทนให้นะแม่หญิง”
“เชิญเจ้าค่ะ”
ศศินาบอกก่อนจะหันมาจัดการกับจานข้าวผัดตรงหน้าตัวเองทันทีด้วยความหิว อคิราห์มองจานข้าวผัดที่หน้าตาดูไม่น่ากินเท่าไหร่ตรงหน้าตัวเองก่อนจะนิ่วหน้าอีกครั้ง มันไม่มีความสวยงามสักนิด ไม่เคยกินอาหารที่ไหนที่ไม่เคยจัดสำรับแบบนี้มาก่อน จานข้าวที่ดูคลุกทุกอย่างมารวมกันแบบนี้มันเหมือนกับที่บ่าวไพร่เอาไปให้พวกหมาแมวใต้เรือนกินแท้ๆ หากเป็นสำรับที่เรือนแม้แต่ผักก็ยังต้องแกะสลักออกมาให้สวยงามเลยด้วยซ้ำ
ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกก่อนจะหันไปมองศศินาที่นั่งอยู่ห่างไปด้วยความระแวง ไม่เคยมีแม่หญิงที่ไหนแข็งกระด้างใส่แบบนี้มาก่อนเช่นกัน แต่พอเห็นว่าศศินากินเหมือนอร่อยนักหนาก็รู้สึกหิวขึ้นมาจนต้องก้มลงไปจัดการอย่างจำใจ
ศศินาลอบมองคนเรื่องมากด้วยความหมั่นไส้ แต่พอเห็นท่าทางตาโตตอนกินเข้าไปคำแรกก็แอบยิ้มสะใจ คงคิดว่ามันจะไม่อร่อยสินะแต่เรื่องทำอาหารศศินามั่นใจมากว่าเธอทำอร่อยแน่นอน เธอฝึกกับแม่มาตั้งแต่เด็กจนโตเรื่องอะไรจะไม่อร่อย อาจไม่เท่ามืออาชีพแต่ก็มั่นใจได้ว่าไม่มีทางออกมาแย่แน่นอน
“อร่อยมาก นี่มันเรียกว่าอะไรหรือแม่หญิง”
“ข้าวผัดหมูธรรมดานี่แหละค่ะ มันอร่อยมากจริงๆเหรอ”
ศศินาแปลกใจไม่น้อยที่อคิราห์ชมออกมาตรงๆแบบนี้ นึกว่าจะวางท่าเหมือนเมื่อกี้ซะอีก แต่พอนึกถึงนิสัยของตัวละครในนิยายแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้าน่าหมั่นไส้มากเกินไป จะเป็นพระเอกที่หล่อแสนดีจนแม่หญิงทั้งเมืองอยากแย่งกันได้ยังไงล่ะ
“ถึงข้าจะไม่เคยกินมาก่อน แต่เจ้าทำอร่อยมากจนข้าอยากให้ท่านพ่อท่านแม่ข้าได้ชิมนัก”
“ขอบคุณค่ะ”
ศศินาตอบเบาๆอย่างทำตัวไม่ถูก พอเห็นอีกคนยิ้มให้แบบนั้นถึงได้เข้าใจ ว่าออร่าตัวเอกมันเจิดจ้าซะจนแทบไม่กล้ามองนานจริงๆ เธอรีบหันมาก้มหน้ากินต่อโดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก ตอนนี้เรื่องแปลกๆนี่กวนใจมากพอจนไม่อยากคิดเรื่องอื่นแล้ว อคิราห์เองพอเห็นว่าศศินาไม่พูดอะไรอีกก็ไม่กล้าจะชวนคุยต่อ ไม่ว่ายังไงการอยู่ลำพังกับแม่หญิงแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างมาก แต่ถ้ายังหาที่มาที่ไปไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
—--
“เจ้าหมายความว่า ที่นี่คืออีกโลกนึงงั้นหรือ”
“ใช่ค่ะ เราอยู่คนละโลกกันและคุณหลุดเข้ามาในโลกนี้ แต่มาได้ยังไงเรื่องนี้ฉันก็บอกคุณไม่ได้เหมือนกัน”
ศศินาอธิบายเสริม หลังจากที่กินมื้อเช้าเสร็จก็มานั่งคุยกับอคิราห์จริงจังเพราะอยากรีบแก้ไขเรื่องราวที่แปลกประหลาดนี่ให้เร็วที่สุด แต่เหมือนยิ่งอธิบายอคิราห์ยิ่งรู้สึกต่อต้านอย่างชัดเจน ก็นั่นสิใครจะเชื่อว่าตัวหลงหลุดมาอีกโลกได้ ขนาดเธอเป็นคนเข้าใจก่อนยังไม่อยากจะเชื่อเลย หากไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนั้นมาก่อนละก็นะ
“เจ้าสติไม่ดีรึแม่หญิง เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไร”
“งั้นคุณมีคำตอบที่ดีกว่านี้มั้ยคะ อะไรที่เป็นไปได้ลองบอกมาสิ”
ศศินาสวนกลับด้วยความหงุดหงิด ใช่ว่าเธออยากพูดเรื่องไร้สาระน่าเหลือเชื่อนี่สักหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจะไม่เชื่อได้ยังไง
“ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่มันเหลือเชื่อเกินไป”
อคิราห์ก้มหน้า รู้สึกผิดที่ไปว่าศศินาแบบนั้น แต่ในหัวกลับครุ่นคิดวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ดูจะนำมาอธิบายไม่ได้สักอย่างว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่ไม่ใช่เมืองแบบที่เคยอยู่อคิราห์รู้ดี ทุกอย่างแปลกไปหมด ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แต่คนทั้งคนจะหลุดไปโลกอื่นได้อย่างไรกัน
“ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนคุณนั่นแหละ แต่คุณมาอยู่ตรงนี้แล้วจะไม่เชื่อได้ยังไงอีก เฮ้อ…รอแป้บนึงนะ”
ศศินาถอนหายใจก่อนจะลุกเดินไปที่ห้องนอน มองหาหนังสือที่เมื่อคืนอ่านแล้ววางไว้ก่อนจะรีบหยิบมาให้อคิราห์ดู
“อ่ะนี่ ถ้าเห็นอันนี้คุณน่าจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นนะ”
“หนังสือหรือ”
“ใช่ค่ะ หนังสือนิยายที่ฉันอ่านจบไปเมื่อคืน คุณอ่านหนังสือได้ใช่มั้ยคะ”
ศศินาถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอคิราห์ต้องอ่านได้ มือหนารับมาก่อนจะพลิกหนังสือดูด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้าอ่านได้อยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าเอามาให้ข้าอ่านทำไมรึ”
“มันคือเรื่องราวของคุณทั้งหมด โลกที่คุณออกมาก็คือในหนังสือนี้ค่ะ”
“เจ้าพูดเรื่องเหลวใหลอะไรอีกแล้วแม่หญิง ข้าเป็นคนจะอยู่ในหนังสือได้อย่างไรกัน”
อคิราห์เถียงกลับด้วยความไม่พอใจ ศศินาถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าปลงๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“คุณไม่เชื่อก็ถูกแล้วแต่มันคือเรื่องจริง ไม่งั้นฉันคงไม่หายกลัวตั้งแต่ที่รู้ชื่อแล้วก็เมืองที่คุณอยู่หรอก เพราะรู้ว่าคุณมาจากในนั้นเลยวางใจไง แต่เราก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้คุณกลับไปไม่งั้นจะคุณจะทำยังไงคะถ้ากลับบ้านไม่ได้จริงๆ”
“ข้า…แต่ข้าเป็นคนนะไม่ใช่ผีสางที่ไหน”
“ฉันรู้ค่ะ คุณเป็นคนแน่ๆแต่แค่อยู่ในโลกนั้น ยังไงคุณก็ต้องหาทางกลับไป”
“ข้าอยากกลับอยู่แล้ว แต่ข้าจะเชื่อเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
“ถ้าคุณอ่านมันทั้งหมดคุณจะเข้าใจเองค่ะ เอาเป็นว่าคุณอ่านก่อนระหว่างนี้ฉันจะออกไปหาของที่จำเป็นมาให้คุณเพราะไม่รู้ว่าจะใช้เวลากี่วันถึงจะกลับไปได้”
“ของจำเป็นหรือ ข้าไม่ต้องการสิ่งใดหรอกแม่หญิงขอบใจเจ้ามาก”
“แต่ฉันว่าจำเป็นมาก คุณจะใส่ชุดแบบนี้ตลอดไม่ได้”
ศศินามองชุดโจงกระเบนเต็มยศอย่างหนักใจ นี่ถ้าไม่รู้จักก็คงคิดได้แค่เป็นผีสางจริงๆนั่นแหละ ใครที่ไหนจะมาใส่ชุดไทยโบราณแบบนี้กัน ถึงจะสวยงามมากๆก็เถอะนะ
“ชุดข้ามันทำไมรึ”
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าคุณอ่านหนังสือนี่ให้หมดรอฉันกลับมา ได้มั้ยคะ”
ศศินาตัดบทเพราะไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้ ตอนนี้ฝนหยุดลงแล้วไม่แน่ว่าช่วงเย็นอาจจะตกลงมาอีกรอบเพราะเป็นหน้าฝน หากรถติดมากเธอคงกลับมาถึงคอนโดดึกแน่คืนนี้ จะปล่อยอคิราห์ไว้คนเดียวนานๆก็ไม่ดีแน่
“ได้สิ เจ้าจะไปนานหรือไม่”
“ไม่นานค่ะ แต่คุณห้ามแตะต้องอะไรก็ตามที่ไม่รู้จัก นอกจากสิ่งที่ฉันบอกไปแล้วตกลงมั้ยคะ”
“ได้สิ ข้าหาใช่เด็กน้อยไม่รู้ความเสียหน่อย ไม่ไปยุ่งกับข้าวของเจ้าหรอกวางใจได้”
ศศินาแอบเบ้ปากเมื่อได้ยินพ่อพระเอกร้อนตัว กว่าจะบอกเรื่องทีวีกับพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆในห้องจนเข้าใจได้ก็แทบตาย คนที่สงสัยทุกอย่างตลอดเวลาขนาดนั้นเอาอะไรมาวางใจได้ก่อน
“งั้นก็ดีค่ะ ฉันจะรีบกลับมา”
