2 ข้ามเวลามาพานพบ
เสียงฝนจากด้านนอกทำให้ศศินายิ่งรู้สึกสบายจนอยากหลับต่อ เพราะเป็นวันหยุดเลยไม่ได้รีบร้อนต้องตื่นไปไหน แต่แรงกดทับที่เอวก็ทำเอาอึดอัดจนต้องนิ่วหน้า และเมื่องัวเงียลืมตาขึ้นมาศศินาก็เบิกตาโตด้วยความตกใจสุดขีด แรงกดทับที่ว่าคือแขนที่พาดเอวเธออยู่ และพอหันไปข้างๆก็ต้องอ้าปากค้างแทบสิ้นสติ
มีผู้ชายมานอนอยู่ข้างๆเธอได้ยังไง!
“คุณเป็นใคร!”
ถึงจะถามออกไปเสียงดัง แต่ในใจกลับเผลอคิดไปถึงสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างห้ามไม่ได้เพราะอีกคนสวมชุดโบราณเต็มยศขนาดนั้น แต่เพราะอยู่ตัวคนเดียวเลยต้องรีบลุกไปหยิบอาวุธที่พอช่วยได้มาถือไว้ เป็นดาบไม้ด้ามยาวที่เธอเคยซื้อมาแขวนในห้องเพราะมันเท่ดีนั่นแหละ ไม่คิดว่าวันนึงจะต้องเอามาถือป้องกันตัวจริงๆแบบนี้
ในขณะที่ศศินาระแวดระวังตัวและคิดหาทางรอดสารพัด ตัวต้นเรื่องที่อยู่บนเตียงทำเพียงงึมงำในลำคอและขยับพลิกมานอนหงายเท่านั้น ศศินายิ่งขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ จากที่เห็นคงเป็นคนแน่ๆ แต่การแต่งตัวและโผล่มาในห้องเธอเหมือนผีขนาดนี้จะเป็นไปได้ยังไง
“นี่คุณ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! เข้ามาในห้องคนอื่นได้ยังไง”
“ถ้าไม่ตื่นจะแจ้งตำรวจแล้วนะ”
ถึงจะขู่ไปแบบนั้น แต่ศศินากลับมองมือถือที่ถูกแขนอีกคนทับอยู่ตาละห้อย จะให้ใครช่วยล่ะ สิ่งเดียวที่ใช้ได้อยู่ไกลมือขนาดนั้นแถมยังไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านี้อีกต่างหาก เธออยากตีแรงๆก็กลัวอีกคนจะลุกมาทำร้ายจนไม่รอด ดูจากขนาดตัวเธอสู้ไม่ได้แน่ๆ
ยิ่งคิดสารพัดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ถ้าเป็นโจรงัดห้องเธอคงตายไปนานแล้วเพราะหลับสนิท อีกอย่างคงไม่มานอนหลับอยู่จนถึงตอนนี้แน่ๆ แล้วโจรที่ไหนใส่ชุดโบราณแบบนี้กัน แล้วถ้าไม่ได้งัดห้องเข้ามาจะหายตัวเข้ามาได้ยังไงห้องเธออยู่ชั้นสี่สิบเจ็ดเลยนะ พอคิดแบบนี้ศศินาก็ขนลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยความกังวลใหม่ หรือว่า จะไม่ใช่คนจริงๆนะ…
เปรี้ยง!!
“อ๊ายยย! ไอ้ผีบ้า ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
เพราะเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นมาตอนนั้น ทำให้ศศินาสติแตกจนร้องตะโกนออกมาดังลั่น ดาบไม้ในมือฟาดไปที่คนบนเตียงเต็มแรงด้วยความหวาดกลัวว่าอีกคนจะเป็นผีจริงๆ
“โอ๊ย! ใครมันบังอาจนัก”
เสียงทุ้มตวาดลั่นก่อนจะผุดลุกขึ้นมาด้วยความโกรธ มือหนากุมแขนข้างขวาที่ถูกตีแล้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ก่อนจะหันมามองคนที่ยืนสั่นอยู่ข้างเตียงอย่างเอาเรื่อง
“นี่เจ้า!...เจ้า…”
ใบหน้าหล่อเหลาที่หันมาทำเอาศศินาตกตะลึงอีกรอบ แต่ท่าทางที่เปลี่ยนจากโกรธเป็นตกใจนั่นก็ยิ่งทำให้ศศินาแปลกใจไปด้วยเช่นกัน เธอต่างหากที่ต้องตกใจแล้วคนที่บุกรุกห้องคนอื่นอย่างหมอนี่จะมาตกใจทำไม ท่าทางสับสนและมองไปรอบๆห้องสลับมองเธอนั้นดูยังไงก็ประหลาด ตกลงระหว่างเธอกับหมอนี่ใครควรตกใจกันแน่
“เจ้า…เป็นใครกัน”
“ฉันสิต้องถามว่าคุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง”
ศศินาย้อนกลับอย่างเอาเรื่อง ดาบไม้ในมือยกขึ้นมาชี้หน้าคนบนเตียงอีกครั้ง เธอกลัวจนสั่นไปหมดแต่ต้องคุมสติไม่ให้แสดงออกมาเพราะไม่มีใครมาช่วยเธอได้ ที่แน่ๆหมอนี่ไม่ใช่ผีเพราะเธอตีแล้วเจ็บ
“นี่เรือนเจ้ารึ เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อข้านอนอยู่ในเรือนข้า แล้วทำไมทุกอย่างมันแปลกไปหมดเช่นนี้ เจ้าใช้คาถาอาคมใดกัน หรือว่า เจ้า…เจ้า เป็นผีรึ”
“จะบ้าเหรอคุณสิผี! แล้วพูดจาภาษาบ้าอะไรของคุณโบราณชะมัด”
“ไยเจ้าถึงหยาบคายเช่นนี้เล่า”
“โอ๊ย พอที! บอกมาได้แล้วว่าคุณเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันทำไม!”
“เจ้านั่นแหละเป็นใคร ไยจึงต้องมาทำเช่นนี้กับข้าด้วย หากเป็นผีก็ไปเสียเถอะ แล้วข้าจะทำบุญกรวดน้ำไปให้อย่าได้มาก่อกรรมที่นี่เลย”
“โอ๊ย จะบ้า! คุณเลิกพูดจาเสียสติซะทีได้มั้ย นี่มันห้องฉัน คุณนั่นแหละเป็นใครมาจากไหน”
ศศินาตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน เธอทั้งกลัวทั้งสับสนจนเครียดไปหมด มือที่ถือดาบไม้สั่นจนแทบคุมไม่ได้ สายตาก็เอาแต่มองมือถือที่อยู่ข้างๆคนบนเตียงด้วยความสิ้นหวัง ทำไมเธอไม่เอามันไว้ข้างๆตัวเองอีกฝั่งนะ ไม่มีใครมาช่วยได้แล้วทีนี้
“ถ้าเรือนนี้เป็นของเจ้า แล้วข้าจะเข้ามาได้อย่างไรอย่ามาพูดจาเหลวไหล เจ้าต้องการสิ่งใดก็รีบบอกมาเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องเรียกคนในเรือนเข้ามาจัดการเจ้าแล้ว”
“เอาสิ เรียกมาให้หมดเรือนคุณนั่นแหละ ดูสิว่าใครจะมาได้บ้าง”
“นี่เจ้ากล้าท้าทายข้ารึ เจ้าผีชั้นต่ำ!”
ใบหน้าหล่อดุดันขึ้นแล้วตวาดพลางชี้หน้าศศินาอย่างโมโห ทำเอาคนที่ทั้งกลัวทั้งเครียดพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด วันนี้ก็ไม่น่าพูดกันรู้เรื่องแล้วมั้ง
“เออ! กล้าสิเอาเลย เรียกมาเลยจะได้รู้ว่าใครกันแน่เป็นผี บ้าบอ”
“บังอาจนัก ไอ้คราม! ไอ้พร้าว เข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้”
“ไอ้คราม! ไอ้พร้าว! พวกเอ็งหายหัวไปไหนหมดวะ มาหาข้าเดี๋ยวนี้ได้ยินหรือไม่ พวกเอ็งอยากโดนหวายลงหลังรึ!”
“พอได้แล้วมั้ง เรียกกี่คนก็ไม่มีใครมาได้หรอก นี่จะเล่นละครย้อนยุคสินะ โจรเดี๋ยวนี้แปลกดีแฮะ”
“นี่เจ้าว่าใครเป็นโจรกันแม่หญิง”
“ใครบุกรุกห้องคนอื่นก็คนนั้นแหละ ไม่ต้องพูดแล้วลุกลงมายืนดีๆถ้าไม่อยากโดนฟาดสลบอยู่ในนี้ ฉันไม่ยั้งมือนะบอกเลย”
“ไยเจ้าถึงพูดจาแปลกนัก แล้วเหตุใดถึงได้ดุร้ายเพียงนี้”
“คุณสิแปลก! พูดภาษาโบราณอยู่ได้นี่มันสมัยไหนแล้วพ่อคุณ อีกอย่างนะนี่ไม่เรียกดุร้ายนี่เรียกป้องกันตัวเถอะ”
ศศินาเถียงกลับด้วยความโมโห เธอหงุดหงิดไปหมดกับความแปลกประหลาดที่กำลังพบเจอ ยิ่งหาคำตอบไม่ได้เธอก็ยิ่งระแวงจนอยากร้องไห้ออกมา ใครไม่เจออย่างเธอคงไม่เข้าใจ การที่เราขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้ทั้งที่กลัวแทบตาย มันสิ้นหวังมากจริงๆ
“นั่นเจ้า ร้องไห้หรือ….ร้องทำไมกัน ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าเสียหน่อย”
คนบนเตียงเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นน้ำตาที่เริ่มไหลจากผู้หญิงตรงหน้า จากที่กรุ่นโกรธก็เริ่มสงบลงและเรียกหาสติของตัวเองให้กลับมามากขึ้น ก็จริงที่ว่าเธอไม่น่าใช่ผี แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ขอร้อง คุณออกไปเถอะนะ ถ้าอยากได้เงินก็เอาไปแต่ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันก็แค่อยากใช้ชีวิตที่เหลือให้ดีๆแค่นั้นเอง ฮึก ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ฮือ”
ศศินาร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เธอมองคนบนเตียงด้วยสายตาอ้อนวอนปนตัดพ้อ ไม่เข้าใจเลยว่าคนที่โดดเดี่ยวเช่นเธอจะต้องโชคร้ายไปถึงไหน ไม่เคยขอความสุขอะไรด้วยซ้ำในชีวิตที่ว่างเปล่ามาตลอดแบบนี้
“แม่หญิง…เจ้าอย่าร้อง ข้าไม่ได้จะทำอะไรเจ้าเลย ข้าก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ากลัว”
ใบหน้างดงามสลดลงทันที ก่อนจะหันไปมองนอกระเบียงที่ยังมีฝนตกหนักอยู่ด้วยความสับสน ศศินาที่เห็นว่าอีกคนดูไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเธอจริงๆถึงได้เบาใจลงนิดหน่อย เธอสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะรวบรวมความกล้าอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
“ถ้าคุณไม่ใช่คนร้าย ฉันก็ไม่ใช่ผี ไม่ใช่ตัวอะไรทั้งนั้นเพราะนี่คือห้องของฉัน แล้วฉันก็อยากรู้ว่าคุณเข้ามาได้ยังไง”
“นี่เรือนเจ้าจริงๆงั้นหรือ…”
“แล้วข้า…มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“ฉันคงตอบคุณไม่ได้ คุณ…จำอะไรได้บ้างมั้ย”
ศศินาเริ่มมองอีกคนอย่างพินิจ สีหน้าที่สับสนและเป็นกังวลนั่นแทบไม่ต่างอะไรจากเธอเลยสักนิด เธอลดดาบไม้ในมือลงก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ สบตาคมที่หันมามองเธอชั่วครู่แล้วตั้งใจฟังที่อีกคนเล่า
“ข้านั่งดื่มเหล้าชมจันทร์อยู่คนเดียวหน้าเรือนข้า จำได้ว่าก่อนจะหลับได้ยินเสียงแม่หญิงสักคนเรียกชื่อข้าจากที่ไกลๆ พอตื่นมาก็อยู่ตรงนี้กับเจ้าแล้ว”
“งั้นคุณ…ชื่ออะไรคะ”
“อคิราห์…ข้าชื่ออคิราห์”
ศศินาขมวดคิ้ว ยิ่งมองดูใบหน้าอีกคนเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด กรอบหน้างดงามไร้ที่ติ ดวงตาคมที่เด่นชัดที่สุดบนใบหน้า กับชื่อที่อีกคนเพิ่งบอกมา ทำไมเหมือนพระเอกในนิยายยุคโบราณที่เธอเพิ่งอ่านจบเลยล่ะ มันจะบังเอิญเกินไปแล้วรึเปล่า
“งั้นคุณ..มาจากที่ไหนคะ หมายถึง…บ้านคุณอยู่ที่ไหนคะ”
“บ้านชิดจันทร์ เมืองพยับหมอก พ่อข้าเป็นเจ้าเมืองที่นั่น”
“ไม่จริง…”
ศศินาเบิกตาโตกับข้อมูลที่ได้รู้ อย่าว่าแต่ใบหน้าและชื่อที่คุ้น ทั้งชื่อหมู่บ้านและเมืองที่ว่านั่นมันคือสถานที่ทั้งหมดที่อยู่ในนิยายเลยต่างหาก ประกอบกับชุดที่อีกคนใส่ก็ยิ่งไม่แปลกถ้าจะมาจากที่นั่นจริงๆ
นี่มันบ้าไปแล้ว จะเป็นไปได้ยังไงที่พระเอกในนิยายจะหลุดออกมาหาเธอในโลกปัจจุบันแบบนี้ อย่าว่าแต่หลงยุคเลยเพราะนิยายนั่นน่ะไม่มีอยู่จริงเลยต่างหาก คนเขียนแค่สร้างโลกในจินตนาการขึ้นมาให้เป็นยุคโบราณเท่านั้น ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์และไม่มีอยู่ในแผนที่ใดๆทั้งสิ้น ทุกอย่างคือเรื่องสมมุติทั้งหมด
ศศินาแทบหมดแรงยืน เธอใช้ดาบไม้นั่นยันพื้นแทนที่จะใช้ขู่อีกคนเพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ถ้าอคิราห์คือพระเอกในนิยายก็แน่นอนว่าไม่ใช่คนอันตราย แต่ความแปลกประหลาดของเรื่องนี้กำลังทำให้เธอช็อกมากกว่าเดิมซะอีก
“ข้าพูดเรื่องจริงไยเจ้าถึงไม่เชื่อ ว่าแต่เจ้าเถอะชื่อว่าอะไรรึ”
“ฉันชื่อศศินา…”
“อืม ชื่อเจ้าเพราะมากแต่เจ้าแต่งตัวแปลกเสียจริง ไยถึงใส่ชุดแบบนั้นเล่า”
อคิราห์เริ่มหันมาถามมากขึ้นเมื่อเห็นว่าศศินายอมลดท่าทางหวาดกลัวลงแล้ว ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้สบายใจขึ้นเลยก็ตาม ไม่ว่ายังไงสถานที่นี้ก็แปลกเกินไปอยู่ดี
“ฉันน่ะใส่ชุดปกติมากมีแต่คุณนั่นแหละที่แปลก แต่ถ้าเป็นเมืองของคุณก็ถือว่าไม่แปลกละนะ”
ศศินาก้มมองตัวเองในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวที่ใส่นอนประจำแล้วถอนหายใจออกมา คนที่แต่งตัวไม่เข้ายุคสุดๆกล้ามาวิจารณ์คนอื่นเนี่ยนะ แต่ก็ว่าไม่ได้เจ้าตัวไม่รู้อีกนั่นแหละ
“พูดจาก็แปลกนัก แล้วถ้าที่นี่คือเรือนเจ้ามันคือเมืองไหนไยถึงได้แปลกตาไปหมดเช่นนี้”
“ที่นี่เป็นเมืองที่บอกไปคุณก็ไม่รู้จักอยู่ดี เอาเป็นว่ามันคือคนละที่กับที่คุณอยู่แบบไกลกันมากๆ เรียกว่าคนละช่วงเวลาเลยแหละ”
ศศินามองอีกคนที่หันไปมาดูรอบห้องเธอก็พอเข้าใจได้ว่ามันแปลกสำหรับคนยุคนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เข้าใจไปกว่านี้แล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่าเธอที่ตกใจแทบตายในตอนแรก กลายเป็นคนมาอธิบายเรื่องราวที่แปลกประหลาดนี่แทนซะงั้น
“ไกลกันมากๆงั้นหรือ แต่คนละช่วงเวลาเจ้าหมายถึงอะไร”
“บอกไปตอนนี้คุณก็คงไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าเราไปหาข้าวเช้ากินก่อนเถอะ ไว้ค่อยคุยตอนนั้นอีกทีละกันฉันหิวแล้ว”
ศศินาตัดบทเพราะนี่ก็สายมากแล้ว ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆเธอคงต้องทำอาหารเองแล้ว ขืนมายืนคุยกันอยู่ตรงนี้อีกกี่ชั่วโมงก็ไม่น่าจบ เธอต้องการพลังงานในการคิดวิธีแก้ปัญหาต่อจากนี้มากๆ
“เดี๋ยวสิเจ้าจะไปไหน ข้ายังไม่เข้าใจเลยนะ ศศินา!”
ศศินาหยุดชะงัก ความรู้สึกแปลกๆกำลังโจมตีเมื่อถูกอีกคนเรียกชื่อ อาจจะเพราะไม่มีใครเรียกชื่อเต็มๆของเธอมานานมากแล้วก็เป็นได้
“ไปทำข้าวเช้า คุณก็ออกมารอข้างนอกนี่เถอะเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
