ตอนที่ 4: ทำไมใจเต้นเวลาเขาเงียบ
นับจากวันที่รู้เรื่องราวในอดีตของภาม ขิมก็เริ่มมองเห็นเขาในอีกแง่มุมหนึ่ง จากที่เคยคิดว่าเขาเย็นชา ตอนนี้เธอกลับมองเห็นความเศร้าที่ถูกปกปิดไว้อย่างมิดชิดภายใต้ท่าทีนิ่งสงบนั้น มันคล้ายกับภาพวาดของเธอ...ที่ดูหม่นหมอง แต่กลับมี "แสง" ซ่อนอยู่
โปรเจกต์ Interior Design กลายเป็นสิ่งผูกพันที่ทำให้ขิมต้องใช้เวลาอยู่กับภามมากขึ้นทุกวัน ในห้องสตูดิโอ กลิ่นหอมจางๆ ของกาแฟดำที่ภามชอบดื่มคลุ้งอยู่ในอากาศเสมอ เขาจะเป็นคนแรกที่มาถึง และเป็นคนสุดท้ายที่กลับ ขิมเองก็มักจะอยู่จนดึกดื่นเพื่อทำงานของตัวเอง หรือบางครั้งก็แค่นั่งเฝ้ามองเขาทำงานเงียบๆ
ภามเป็นคนไม่พูดมาก เขาจะอธิบายสิ่งที่ต้องทำอย่างกระชับและตรงประเด็น แต่เขามักจะสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับขิมเสมอ
วันหนึ่ง ขิมนั่งทำงานเรนเดอร์ภาพจนดึก เธอลืมตัวจนเผลอไอค่อกแค่กเพราะอากาศที่เย็นลงในห้องสตูดิโอ ภามที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มลงไปทำงานต่อ ขิมคิดว่าเขาคงไม่ได้สนใจอะไร
แต่ไม่ถึงห้านาที แก้วน้ำอุ่นที่วางอยู่ข้างๆ เธอเมื่อครู่ก็หายไป แล้วกลับมาพร้อมกับแก้วชาสมุนไพรกลิ่นหอมกรุ่น ภามวางมันลงข้างๆ เธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม
ขิมมองแก้วชานั้นด้วยความประหลาดใจ ไออุ่นๆ ลอยขึ้นมาจากแก้วชา ทำให้มือของเธอที่กำลังเย็นเฉียบรู้สึกสบายขึ้นมาทันที
“ขอบคุณค่ะ” ขิมกระซิบเบาๆ
ภามเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันมามอง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงความใส่ใจในแบบที่คาดไม่ถึง อีกวันหนึ่ง ขิมทำปากกาเรขาคณิตด้ามโปรดหล่นลงใต้โต๊ะที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วางระเกะระกะ เธอพยายามเอื้อมมือไปเก็บ แต่ก็เข้าไม่ถึง ภามที่เดินผ่านมาเห็นเข้า ก็ก้มลงหยิบมันขึ้นมาให้โดยไม่พูดอะไรเลย เขาวางมันลงบนโต๊ะของเธอราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
มันเป็นความใส่ใจที่มาในรูปแบบของความเงียบ และการกระทำที่ปราศจากคำพูดใดๆ แต่กลับทำให้หัวใจของขิมเต้นเร็วขึ้นอย่างประหลาด ทุกครั้งที่เขาทำอะไรแบบนี้ ขิมจะรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยตัวโบยบินอยู่ในท้อง
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงใจเต้นแรงเวลาเขาเงียบ
โลกของขิมที่เคยปิดตายเรื่องความรัก ค่อยๆ ถูกสั่นสะเทือนด้วยการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เธอเคยคิดว่าเธอจะไม่รักใครอีกแล้ว ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาในชีวิตอีกแล้ว เพราะการผูกพันกับใครสักคนนั้นนำมาซึ่งความเจ็บปวดเสมอ พ่อของเธอทิ้งแม่ไปตั้งแต่เธอยังเด็ก และความรักครั้งแรกในวัยเรียนก็จบลงด้วยการถูกทิ้งไว้กลางทาง
ความกลัวเหล่านั้นยังคงเป็นเหมือนกำแพงสูงที่กั้นขวางหัวใจของเธอไว้ แต่กำแพงนั้นเริ่มมีรอยร้าวเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า คล้ายกับภาพวาดที่เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นแสงสีขาวจางๆ แทรกอยู่
คืนนั้น ขิมกลับมาที่หอพัก เธอเปิดสมุดร่างภาพอีกครั้ง มือของเธอยังคงวาดภาพใบหน้าของภาม แต่คราวนี้รายละเอียดต่างๆ ดูชัดเจนขึ้น แววตาของเขาที่เคยดูว่างเปล่า ตอนนี้กลับมีบางอย่างที่อ่อนโยนซ่อนอยู่ตรงมุมปากเล็กน้อย
แล้วขิมก็เติมแสงลงไปในภาพ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องลงมากระทบบนใบหน้าของเขา ทำให้ภาพนั้นดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอวาดภาพที่มี "พระอาทิตย์" ส่องแสงชัดเจนขนาดนี้ และมันเป็นภาพใบหน้าของเขา
หัวใจของขิมยังคงเต้นระรัว ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นความรู้สึกที่เธอไม่รู้จัก เธอเคยเชื่อมาตลอดว่าความรักคือความอ่อนแอ ความรักคือการถูกทิ้งขว้าง และความรักคือจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดที่ไม่อาจเยียวยาได้ การเติบโตมาในครอบครัวที่ความรักเป็นเพียงคำสาป คุณพ่อของเธอทิ้งคุณแม่ไปเมื่อเธอยังเด็ก ทิ้งไว้เพียงรอยร้าวที่ฝังลึกในใจคุณแม่และกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังในชีวิตของขิม เธอเฝ้ามองคุณแม่จมดิ่งอยู่กับความเสียใจ และตอกย้ำกับตัวเองเสมอว่าเธอจะไม่มีวันเดินซ้ำรอยนั้นเด็ดขาด
เมื่อถึงวัยรุ่นและได้พบกับความรักครั้งแรก ความรู้สึกที่สวยงามในตอนแรกกลับกลายเป็นฝันร้ายเมื่อคนรักเก่าเลือกที่จะเดินจากไปโดยไม่บอกกล่าว ทิ้งให้ขิมเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าและความผิดหวัง ความเจ็บปวดนั้นตอกย้ำให้เธอยิ่งเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองว่าความรักคือเรื่องไร้สาระ มันไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามี มันก็แค่รอเวลาที่จะทำลายทุกสิ่งรอบตัวให้พังทลายลงไปพร้อมกัน
แต่การกระทำของภาม...มันค่อยๆ สั่นคลอนความเชื่อมั่นนั้นทีละน้อย ไม่ใช่คำพูดหวานหู ไม่ใช่การกระทำที่แสดงออกถึงความรักแบบโจ่งแจ้ง แต่มันเป็นการกระทำที่ละเอียดอ่อน การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่มีแต่คนรอบข้างเท่านั้นที่จะสังเกตเห็นได้ และคนส่วนใหญ่ก็อาจจะมองข้ามมันไป
อย่างเช่นวันนั้นที่ขิมปวดหัวจนแทบทำงานไม่ไหว เธอพยายามเก็บอาการและซ่อนหน้าไว้กับจอคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าเธออ่อนแอแค่ไหน ภามที่เดินผ่านมาเห็นเข้าก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เดินออกไปจากห้องแล้วกลับเข้ามาพร้อมกับยาแก้ปวดและน้ำเปล่าเย็นๆ วางลงข้างมือเธอเงียบๆ สายตาของเขามองมาที่เธอเพียงชั่วครู่ แววตาที่เต็มไปด้วยความนิ่งสงบนั้นทำให้ขิมรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังอยู่ภายใต้การปกป้องบางอย่างที่แข็งแกร่ง
หรืออีกครั้งที่ขิมเผลอหลับไปบนโต๊ะทำงานในห้องสตูดิโอ เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อแสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา สิ่งแรกที่เธอเห็นคือเสื้อแจ็กเก็ตของภามที่คลุมอยู่บนตัวเธออย่างเบามือ เขาเองก็นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้ตั้งใจจะแสดงความเป็นเจ้าของ หรือเรียกร้องความสนใจใดๆ แต่การกระทำนั้นกลับบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ขิมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
มันทำให้ขิมรู้สึกว่าพี่ภาม...ไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนพ่อที่ไม่เคยหันกลับมามอง ไม่เหมือนคนรักเก่าที่เดินจากไปอย่างง่ายดาย ภามเป็นเหมือนเงาที่คอยติดตาม เธออยู่ข้างๆ ไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้ผลักดัน เพียงแค่เฝ้ามองและคอยดูแลอยู่ห่างๆ ความเงียบของเขาไม่ได้น่ากลัว แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด ความเงียบของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว
ความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับขิม เธอไม่รู้จะนิยามมันว่าอะไร แต่ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ภาม หัวใจของเธอก็จะเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ และเธอจะรู้สึกถึงแสงสว่างเล็กๆ ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในโลกที่เคยเป็นสีเทาหม่นของเธอ
ไอซ์สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของขิมได้ เธอจะยิ้มมุมปากทุกครั้งที่เห็นขิมแอบมองภามตอนที่เขาทำงาน หรือตอนที่ขิมเผลออมยิ้มเวลาที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของภามเวลาที่เขาคุยกับพี่กันต์
“แกนี่มันจริงๆ เลยนะขิม” ไอซ์แซวในวันหนึ่ง “หน้าแกนี่ฟ้องมากเลยนะเวลาเห็นพี่ภาม”
ขิมทำหน้ามุ่ย “อะไรของแกเนี่ยไอซ์ ฉันแค่ทำงาน”
“งานอะไรล่ะยะ! แกแอบวาดรูปเขาตั้งกี่รูปแล้วล่ะ!” ไอซ์หัวเราะคิกคัก
คำพูดของไอซ์ทำให้ขิมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า เธอไม่เคยบอกใครเรื่องภาพวาดเหล่านั้น มันเป็นความลับที่เธอเก็บไว้ในสมุดร่างภาพของตัวเอง และเป็นความลับที่เธอคิดว่าจะไม่มีใครล่วงรู้ได้
ขิมกลับมาที่หอพักพร้อมกับความรู้สึกที่สับสน เธอเปิดสมุดร่างภาพอีกครั้ง มือของเธอลูบไล้ไปบนภาพใบหน้าของภามที่เธอเพิ่งวาดเสร็จเมื่อเช้านี้ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่เธอเพิ่มเข้าไปในภาพดูอบอุ่นและเปล่งประกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มันเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความรู้สึก...ความรู้สึกที่เธอยอมรับกับตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกที่เธอพยายามจะหลีกหนีมาตลอดชีวิต
เธอรู้ว่ามันอันตราย มันคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอกำลังก้าวเข้าสู่เขตอันตรายที่เธอเคยให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ก้าวเข้าไปอีก
แต่ในขณะเดียวกัน เธอกลับรู้สึกว่าเธอไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ราวกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างที่มองไม่เห็น ค่อยๆ ดึงเธอเข้าไปใกล้ภามมากขึ้นเรื่อยๆ
ขิมจ้องมองภาพนั้นอีกครั้ง แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจอย่างชัดเจน
เธอเริ่มวาดรูปเขาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง คราวนี้มีแสงอาทิตย์ในภาพ
นี่ไม่ใช่แค่แสงอาทิตย์ในภาพวาด แต่มันคือแสงสว่างที่กำลังส่องเข้ามาในใจของเธอ เป็นแสงสว่างที่ภามกำลังนำมาให้ แสงสว่างที่อาจจะทำให้โลกสีเทาของเธอ กลับมามีสีสันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่พร้อมที่จะยอมรับมันก็ตาม
ความรู้สึกหวาดกลัวกับการถูกทอดทิ้งยังคงวนเวียนอยู่ในใจ แต่ก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ นั่นคือความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับ "แสง" นั้นให้ใกล้ขึ้นอีกนิด ให้รู้ว่ามันจะอบอุ่นและปลอดภัยได้มากแค่ไหน
มันเป็นความรู้สึกที่ขิมไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ"
