ตอนที่ 5: “อย่าชินกับการอยู่คนเดียว”
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขิมใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับห้องเรียน ห้องสตูดิโอ และห้องสมุด เธอทำงานโปรเจกต์กับภาม พิมพร และจิรวัฒน์อย่างต่อเนื่อง จนเริ่มคุ้นชินกับบรรยากาศการทำงานที่จริงจังแต่มีประสิทธิภาพของภาม โปรเจกต์ของกลุ่มก้าวหน้าไปได้ด้วยดี ส่วนใหญ่เป็นเพราะภามที่เป็นคนวางแผนและควบคุมทุกอย่างได้อย่างเป็นระบบ ขิมเองก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการเรนเดอร์ภาพและไดอะแกรมที่เธอเริ่มสนุกกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างขิมกับภามยังคงเป็นไปอย่างเงียบๆ ภามยังคงพูดน้อยเช่นเดิม การสนทนาส่วนใหญ่จะวนอยู่แต่เรื่องงาน และมีเพียงการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นที่บ่งบอกถึงความใส่ใจที่เขามีให้ อย่างเช่นการที่เขาจะวางแก้วกาแฟอุ่นๆ ไว้ข้างมือเธอเสมอเมื่อเห็นเธอเริ่มหาว หรือการที่เขาจะคอยตรวจงานของเธออย่างละเอียดพร้อมกับให้คำแนะนำที่สั้นกระชับแต่ครอบคลุม
ขิมเริ่มชินกับการมีเขาอยู่ข้างๆ ในห้องสตูดิโอ การได้นั่งทำงานเงียบๆ ในบรรยากาศที่มีกลิ่นกาแฟจางๆ ลอยอวลอยู่รอบตัว มันให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และอบอุ่นอย่างประหลาด ความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
โลกของเธอที่เคยเป็นสีเทาหม่น ตอนนี้เริ่มมีเฉดสีใหม่ๆ แทรกเข้ามาอย่างช้าๆ สีเหลืองทองอ่อนๆ ของแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องสตูดิโอ สีเขียวเข้มของต้นไม้ที่ปลูกเรียงรายอยู่ริมระเบียง หรือแม้กระทั่งสีน้ำเงินของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มองเห็นจากหน้าต่าง...ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาขึ้นในสายตาของเธอ
แต่แล้ว...กำแพงที่ขิมพยายามสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งก็เริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง
ในบ่ายวันหนึ่ง ขิมนั่งทำงานเรนเดอร์ภาพอยู่ในห้องสตูดิโอเพียงลำพัง ไอซ์ไปทำกิจกรรมกับเพื่อนคณะอื่น ส่วนภาม พิมพร และจิรวัฒน์ออกไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ไซต์งาน เธอนั่งจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเงียบๆ พยายามลบภาพความกังวลที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเช้านี้ออกไปจากความคิด
เมื่อเช้านี้ คุณแม่โทรมาหาเธอ เสียงของคุณแม่ดูเครียดและเหนื่อยล้ากว่าปกติ ขิมรู้ว่าคุณแม่กำลังประสบปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกแล้ว หลังจากที่คุณพ่อทิ้งไป คุณแม่ก็ต้องแบกรับภาระทุกอย่างเพียงลำพัง และหลายครั้งที่เรื่องเงินกลายเป็นปัญหาใหญ่ในบ้าน
"ขิม แม่คงต้องหาเงินเพิ่มอีกหน่อยนะลูก ช่วงนี้ไม่ค่อยดีเลย" เสียงของคุณแม่สั่นเครือ "แม่ไม่อยากให้ลูกลำบาก"
ขิมรู้สึกจุกในอก เธอเกลียดการที่เห็นคุณแม่ต้องแบกรับภาระหนักขนาดนี้ เกลียดความรู้สึกไร้ประโยชน์ของตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
"แม่คะ...ถ้าไม่ไหวก็พักบ้างก็ได้นะคะ" ขิมพยายามปลอบใจ แต่เสียงของเธอก็สั่นไม่ต่างกัน
บทสนทนาจบลงด้วยความเงียบงัน ขิมนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ภาพเรนเดอร์อาคารที่เธอกำลังทำอยู่ดูพร่าเลือนไปหมด ดวงตาของเธอเริ่มร้อนผ่าว หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ขิมรู้ว่าเธอไม่ควรร้องไห้ เธอโตแล้ว เธอควรจะเข้มแข็ง เธอควรจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ดีกว่านี้ แต่ในบางครั้ง...มันก็ยากเหลือเกินที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอเหล่านั้นไว้
เธอพยายามปาดน้ำตาที่ไหลลงมาเบาๆ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดรอดออกไป แต่ความเสียใจและความกังวลมันตีตื้นขึ้นมาจนแทบจะหายใจไม่ออก
ขิมก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าไว้กับแขนที่วางอยู่บนโต๊ะ ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลทะลักออกมา เธอสะอื้นฮักๆ อย่างเงียบเชียบ พยายามไม่ให้ใครได้ยิน แม้จะรู้ว่าในห้องนี้ตอนนี้มีแค่เธอเพียงลำพัง
เสียงสะอื้นของเธอเบามาก...แต่ก็ไม่ได้เบาพอ
"ขิม"
เสียงทุ้มเรียบที่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้ขิมสะดุ้งสุดตัว เธอเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่พร่ามัวจากน้ำตาเห็นภาพเบลอๆ ของภามที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมกว่าปกติเล็กน้อย แต่แววตาที่มองมาที่เธอกลับเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ขิมรีบปาดน้ำตาออกจากแก้มอย่างลวกๆ พยายามทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"พี่ภาม...กลับมาแล้วเหรอคะ" เธอถามเสียงสั่น พยายามเปลี่ยนเรื่อง
ภามไม่ได้ตอบคำถาม เขาเพียงแค่ยืนนิ่ง จ้องมองมาที่เธออย่างไม่วางตา แล้วเขาก็เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย
"เป็นอะไร" เขาถามเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยความห่วงใยที่ไม่เคยแสดงออกชัดเจนขนาดนี้มาก่อน
ขิมส่ายหน้า "เปล่าค่ะ...ไม่มีอะไร"
แต่ภามไม่เชื่อ เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเขาก็เอื้อมมือมาวางลงบนไหล่ของขิมอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อ่อนโยนนั้นทำให้ขิมรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังจะพังทลายลงไป
ไหล่ของภามสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการสะอื้นที่ขิมพยายามกลั้นไว้ เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ความเงียบของเขาในครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกแตกต่างออกไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความเงียบที่เว้นระยะห่าง แต่เป็นความเงียบที่โอบล้อม เป็นความเงียบที่บอกว่า "ฉันอยู่ตรงนี้"
น้ำตาของขิมไหลออกมาไม่หยุด เธอไม่เคยอนุญาตให้ใครได้เห็นความอ่อนแอของเธอมากขนาดนี้มาก่อน แต่การอยู่ต่อหน้าภามในตอนนี้ กลับทำให้เธอลืมเลือนความรู้สึกอับอายไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าเขาเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เธอสามารถปลดปล่อยทุกอย่างออกมาได้
ภามไม่รู้ว่าขิมต้องเผชิญกับเรื่องราวอะไรมาบ้าง แต่แววตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเธอ และเสียงสะอื้นที่แทบจะขาดใจนั้น ทำให้เขาเข้าใจดีว่าเธอกำลังแบกรับความเจ็บปวดบางอย่างไว้ไม่ต่างจากเขา ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทำให้หัวใจของเขาบีบรัด
เขายังคงวางมือบนไหล่ของเธออยู่อย่างนั้น สัมผัสที่เบาแผ่วแต่หนักแน่นค่อยๆ ซึมซับความร้อนรุ่มจากน้ำตาของเธอไปทีละน้อย และหลังจากที่ขิมสะอื้นจนตัวโยนอยู่พักใหญ่ เสียงสะอื้นก็ค่อยๆ เบาลง เหลือเพียงแค่ลมหายใจที่สั่นเทา
“อย่าชินกับการอยู่คนเดียวเลย”
เสียงทุ้มต่ำของภามดังขึ้น ประโยคที่สั้นกระชับ แต่กลับดังก้องไปทั่วโสตประสาทของขิม เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองใบหน้าของภามที่ยังคงนิ่งเรียบ แต่ดวงตาของเขาในตอนนี้ไม่ได้ดูเย็นชาอีกต่อไปแล้ว มันเต็มไปด้วยความเข้าใจ ความห่วงใย และความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน
“มันไม่ดี” เขาพูดต่อ ดวงตาของเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของขิม ราวกับพยายามจะสื่อสารความรู้สึกที่เขายังไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
ขิมรับรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังประโยคนั้น ภามไม่ได้แค่บอกว่า "อย่าอยู่คนเดียว" แต่เขากำลังบอกว่า "ฉันรู้ว่าการอยู่คนเดียวมันเจ็บปวด" เขากำลังบอกว่า "ฉันก็เคยผ่านมันมาแล้ว"
มันเป็นประโยคที่กระแทกเข้ากลางใจของขิมอย่างจัง การที่ใครสักคนเข้าใจความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เธอเผชิญอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ปลอบโยนอย่างประหลาด ความโดดเดี่ยวที่เธอเคยโอบกอดไว้ราวกับเป็นเพื่อนสนิท ตอนนี้กลับถูกฉีกกระชากออกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำจากเขา
ขิมไม่ได้พูดอะไร เธอแค่จ้องมองเข้าไปในดวงตาของภาม น้ำตายังคงไหลริน แต่ไม่ใช่เพราะความเสียใจอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกันไป ทั้งความโล่งใจ ความอบอุ่น และความกลัวบางอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ภามยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เคลื่อนไหว ไม่ได้พูดอะไรอีก ราวกับรอให้เธอจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้เรียบร้อย เขาไม่ได้ให้คำแนะนำ ไม่ได้พยายามปลอบโยนด้วยคำพูด แต่การที่เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคงก็เพียงพอแล้วสำหรับขิม
หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ ขิมก็ค่อยๆ สงบลง เธอปาดน้ำตาที่เหลืออยู่บนแก้มออก พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ขอบคุณค่ะ” ขิมกระซิบเสียงแหบพร่า
ภามพยักหน้ารับเล็กน้อย แล้วเขาก็เดินถอยหลังออกไป เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเลย ไม่ได้ถามว่าเธอเป็นอะไร ไม่ได้พยายามขุดคุ้ยบาดแผลของเธอ
แต่การกระทำนั้น...มันกลับมีความหมายมากกว่าคำพูดนับพัน
ในคืนนั้น เมื่อกลับมาถึงหอพัก ขิมหยิบสมุดร่างภาพขึ้นมาอีกครั้ง เธอเปิดไปที่หน้าว่างเปล่า และเริ่มวาดภาพใหม่
คราวนี้เธอไม่ได้วาดภาพใบหน้าของภาม แต่เธอกลับวาดภาพ "มือ" มือที่กำลังวางอยู่บนไหล่ของใครบางคน แสงสว่างที่สาดส่องลงมาจากด้านบน ทำให้ภาพนั้นดูอบอุ่นและปลอบโยนอย่างไม่น่าเชื่อ
มันไม่ใช่เพียงแค่การวาดภาพ แต่เป็นการบันทึกความรู้สึก เธอรับรู้ได้ว่าการมีใครสักคนอยู่ข้างๆ ในยามที่อ่อนแอ มันเป็นสิ่งที่เธอโหยหามาตลอดชีวิต และในที่สุด...เธอก็ได้พบมันในตัวของภาม
คำพูดของภามยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอ: "อย่าชินกับการอยู่คนเดียวเลย มันไม่ดี"
ขิมรู้ดีว่ามันไม่ดี และตอนนี้เธอก็พร้อมแล้วที่จะยอมรับว่าเธอไม่ได้อยากอยู่คนเดียวอีกต่อไป
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทั้งคู่ได้เปิดใจให้แก่กันและกันอย่างแท้จริง แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ และเต็มไปด้วยความเงียบงัน แต่สำหรับขิม...มันคือก้าวที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ โลกที่เคยเป็นสีเทาหม่น ตอนนี้เริ่มมีแสงสว่างอบอุ่นส่องเข้ามาอย่างเต็มที่ และเธอพร้อมแล้วที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าในแสงนั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไรก็ตาม
