พระอาทิตย์ของฉัน อยู่ปีสี่

52.0K · จบแล้ว
โกโอ (高鸥)
21
บท
2.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"เมื่อพระอาทิตย์ที่หลับใหล...ได้กลับมาส่องแสงอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มของ 'เธอ' ผู้ไม่เชื่อในความรัก" หรืออีกหนึ่งทางเลือก: "จากโลกสีเทา สู่แสงอาทิตย์ที่อบอุ่น...เรื่องราวของคนสองคนที่บาดเจ็บ แต่พร้อมจะเยียวยากันและกัน"

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักดราม่าดาวมหาลัยรักแรกพบโรงแรม/มหาลัยโรแมนติกนักศึกษาฟินๆ

ตอนที่ 1: รับน้องปีหนึ่ง

"เสียงปรบมือดังกระหึ่มราวกับพายุโหมกระหน่ำในโถงกว้างของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ กลิ่นสีอะคริลิกผสมกับกลิ่นเหงื่อจาง ๆ ลอยอวลในอากาศ เป็นความหอมแบบแปลก ๆ ที่ขิมไม่คุ้นเคย แต่ก็ไม่ได้น่ารังเกียจจนเกินไป

เธอเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งในทะเลคลื่นนักศึกษาปีหนึ่งที่แน่นขนัด แต่ละคนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวด้วยความตื่นเต้นและประหม่า ดวงตาของขิมกวาดมองไปรอบตัวอย่างเหม่อลอย แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์สีขาวสาดส่องลงมา ทำให้ทุกอย่างดูขาวโพลนไปหมด เหมือนภาพวาดที่ยังไม่ได้ลงสีอะไรลงไปเลย

‘เอาล่ะครับน้อง ๆ!’ เสียงทุ้มแหบพร่าของรุ่นพี่คนหนึ่งดึงความสนใจของเธอไว้ เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมสีเข้มถูกเสยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เผยให้เห็นโครงหน้าคมคายที่ดูเย็นชาแต่ก็ชวนมอง ริมฝีปากบางเฉียบของเขาขยับพูดอะไรบางอย่าง แต่ขิมไม่ได้ยินถนัดนัก มัวแต่จ้องมองแววตาที่ดูเหนื่อยล้าคู่นั้น

นี่คือพี่ภาม หัวหน้ากลุ่มรับน้องของเธอ ชื่อของเขาลอยวนอยู่ในบทสนทนาของเพื่อนร่วมรุ่นอยู่หลายครั้งแล้ว ทุกคนพูดถึงเขาว่าเป็น 'รุ่นพี่สุดหล่อแต่โคตรเย็นชา' ขิมไม่ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์เท่าไหร่ เพราะโลกของเธอมักจะถูกเคลือบด้วยฟิลเตอร์สีเทาหม่นมาตลอด ความสวยงามจึงดูไม่สลักสำคัญนัก

แต่แววตาของพี่ภาม...มันมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเธอ ความว่างเปล่าบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความนิ่งสงบภายนอก

กิจกรรมจับกลุ่มเริ่มต้นขึ้นอย่างวุ่นวาย เสียงเรียกชื่อดังระงม ขิมเลือกที่จะอยู่ท้ายแถวเสมอ เธอไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ชอบการเข้าหาคนอื่นก่อน และไม่คาดหวังว่าจะมีใครเดินเข้ามาหาเธอเช่นกัน การอยู่ในโลกของตัวเอง ปลอดภัยที่สุดแล้ว

เพื่อนคนแรกที่เธอพอจะคุยด้วยอย่างสนิทใจคือไอซ์ เด็กสาวร่างเล็ก ผมสั้นซอยที่เต็มไปด้วยพลังงาน ไอซ์เป็นคนเดียวที่เดินเข้ามาทักเธอในวันปฐมนิเทศ และเป็นคนเดียวที่ทำให้ขิมรู้สึกว่าโลกของเธอยังมีสีสันอยู่บ้าง

‘ขิม อยู่ไหนเนี่ย! มาอยู่ตรงนี้เร็ว!’ ไอซ์กวักมือเรียกจากกลางกลุ่ม พร้อมกับสีหน้าบ่งบอกว่าเธอจะต้องมาให้ได้ ขิมจำใจต้องเดินฝ่าฝูงชนไปอย่างช้า ๆ มือข้างหนึ่งกำสายกระเป๋าสะพายแน่น รู้สึกเหมือนกำลังก้าวเข้าไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย

ระหว่างที่เดิน เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ขิมหันกลับไปมอง พบว่ามีกลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายกำลัง ‘เล่น’ กับรุ่นน้องคนหนึ่ง รุ่นน้องคนนั้นตัวเล็กกว่าคนอื่น ๆ และดูท่าทางประหม่าเป็นพิเศษ

‘เฮ้ย! น้องคนนั้นน่ะ! ทำไมไม่ใส่เสื้อทีม!’ รุ่นพี่คนหนึ่งตะคอกเสียงดังจนหลายคนหันไปมอง ขิมรู้สึกใจเต้นแรง เธอเกลียดสถานการณ์แบบนี้ เกลียดการที่เห็นใครถูกรังแก เกลียดการที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

รุ่นน้องคนนั้นตัวสั่นเทา พยายามอธิบายอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกเสียงหัวเราะของรุ่นพี่กลบไปหมด

‘มานี่เลย!’ รุ่นพี่คนหนึ่งคว้าแขนรุ่นน้องคนนั้นไว้และพยายามดึงตัวออกมาจากกลุ่ม ขิมเม้มปากแน่น หัวใจบีบรัดด้วยความอึดอัด เธออยากจะเดินเข้าไปช่วย แต่ขาของเธอกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้

แล้วจู่ ๆ เงาร่างสูงก็ก้าวออกมาจากฝูงชน เสียงหัวเราะเหล่านั้นเงียบลงทันที

‘ปล่อย’

เสียงทุ้มเรียบ แต่หนักแน่นจนน่าขนลุก รุ่นพี่ที่กำลังรังแกรุ่นน้องชะงักไปเล็กน้อย พวกเขาหันไปมองต้นเสียง และเมื่อเห็นว่าเป็นใคร สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที

พี่ภามยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมกริบจ้องตรงไปยังรุ่นพี่กลุ่มนั้นโดยไม่กระพริบ ราวกับว่าสายตาของเขาสามารถแช่แข็งทุกสิ่งได้

‘นี่ไม่ใช่การรับน้อง’ เขาพูดเสียงเรียบ แต่ทุกคำชัดเจนจนขิมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในอากาศ ‘ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ก็เลิกซะ’

รุ่นพี่กลุ่มนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายก็ยอมปล่อยแขนรุ่นน้องคนนั้นอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ

พี่ภามไม่ได้หันไปมองรุ่นน้องที่เขาช่วยไว้เลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่กวาดสายตาไปรอบ ๆ โถง แล้วเดินกลับไปยังจุดที่เขายืนอยู่ตั้งแต่แรก ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ในใจของขิม...บางสิ่งได้ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน ความรู้สึกที่แปลกใหม่ ความรู้สึกที่คล้ายกับ...ความอบอุ่นจาง ๆ ที่ฉาบไล้อยู่บนโลกสีเทาของเธอ

ขิมมองแผ่นหลังของพี่ภามที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป จนกลายเป็นเพียงเงาจาง ๆ ในแสงสว่างที่พร่างพราย เธอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย คว้าปากกาและสมุดร่างภาพเล่มเล็กออกมาอย่างไม่รู้ตัว

เธอเริ่มวาด...วาดภาพเงาของชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง แผ่นหลังที่ดูโดดเดี่ยว แต่กลับให้ความรู้สึกมั่นคงอย่างประหลาด

เธอยังไม่รู้เลยว่าเงาที่เธอวาดนั้นคือใคร และจะเข้ามาเปลี่ยนโลกของเธอไปตลอดกาลได้อย่างไร"

---

หลังจากเหตุการณ์นั้น กิจกรรมการรับน้องก็ดำเนินต่อไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีเสียงหัวเราะเยาะเย้ย หรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมอีก ทุกคนดูจะเกรงใจพี่ภามอย่างเห็นได้ชัด ขิมสังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าคำสั่งสั้นๆ หรือการพยักหน้าตอบรับ แต่กลับมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ทุกคนเชื่อฟังโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดมากมายนัก

ไอซ์รีบเดินตรงมาหาขิมทันทีที่กิจกรรมกลุ่มย่อยเริ่มขึ้น ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

“แกเห็นไหมเมื่อกี้! พี่ภามโคตรเท่อะ!” ไอซ์เขย่าแขนขิมเบาๆ “ปกติพี่เขาเย็นชาจะตาย ไม่คิดว่าจะมาช่วยน้องแบบนี้”

ขิมพยักหน้าช้าๆ “อืม” เธอตอบสั้นๆ “เขาดูไม่ชอบความรุนแรง”

“นั่นแหละ! แกรู้สึกปะว่าพี่เขาดูไม่เหมือนคนอื่น” ไอซ์ยังคงตื่นเต้นไม่เลิก “แบบ...เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ข้างในที่ยังไม่ถูกเปิดเผยอะ”

ขิมมองไปทางพี่ภามอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังยืนอธิบายการแบ่งกลุ่มให้กับรุ่นน้องอีกกลุ่มหนึ่ง แสงแดดยามบ่ายที่สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของอาคารเรียน ตกกระทบลงบนใบหน้าของเขา ทำให้กรอบหน้าคมคายดูมีมิติมากขึ้น แววตาของเขายังคงนิ่งเรียบ แต่ขิมรู้สึกว่าวันนี้มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย หรืออาจเป็นเพราะเธอรู้สึกอย่างนั้นไปเอง

“ไม่รู้สิ” ขิมตอบเรียบๆ “แค่รู้สึกว่าเขาช่วย”

ไอซ์หัวเราะ “แกล่ะก็! โลกนี้มันไม่ได้มีแค่ขาวกับดำนะเว้ยขิม บางทีมันก็มีสีเทาแบบพี่ภามนี่แหละ ที่ทำให้โลกมีมิติขึ้นมา”

คำว่า "สีเทา" ของไอซ์สะกิดใจขิมอย่างประหลาด สำหรับขิม โลกของเธอเป็นสีเทามาโดยตลอด เป็นสีเทาที่จืดชืดและไร้ความหมาย เธอไม่เคยเห็นความสวยงามในเฉดสีนี้ ไม่เคยคิดว่ามันจะมีมิติอย่างที่ไอซ์บอก

หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมรับน้องช่วงเช้า ขิมกับไอซ์เดินหาที่นั่งพัก ขิมยังคงรู้สึกเหนื่อยล้า ทั้งร่างกายและจิตใจ เธอมักจะเป็นแบบนี้เสมอเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก พลังงานของเธอจะถูกดูดออกไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ไอซ์กำลังวุ่นอยู่กับการตอบไลน์เพื่อนใหม่ ขิมก็หยิบสมุดร่างภาพขึ้นมาอีกครั้ง มือของเธอยังคงจับปากกาและวาดลงไปบนหน้ากระดาษอย่างอัตโนมัติ

ภาพเงาของชายหนุ่มร่างสูงคนเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ขิมวาดรายละเอียดของแผ่นหลังและไหล่ที่ดูกว้างใหญ่ให้ชัดเจนขึ้น เธอยังเพิ่มเส้นผมที่ยุ่งเล็กน้อย และขอบเสื้อเชิ้ตที่ดูเรียบง่ายแต่มั่นคง

เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากวาดเขา ภาพของเขาไม่ได้สวยงามเหมือนภาพวิวที่เธอเคยชอบวาด แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจเธออย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเงาของเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรู้สึกที่เธอเก็บซ่อนไว้ภายในใจ

ทันใดนั้น เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นข้างๆ เธอ

“วาดเก่งดี”

ขิมสะดุ้งสุดตัว มือเกือบปัดสมุดร่วง เธอหันขวับไปมอง ก็พบว่าเป็น พี่ภาม เขายืนอยู่ข้างๆ เธอ ใบหน้าเรียบเฉย แววตายังคงนิ่งสนิท แต่กลับจ้องมองมาที่ภาพวาดในสมุดของเธอ

หัวใจของขิมเต้นระรัวด้วยความตกใจ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะไม่คิดว่าเขาจะมาเห็น และไม่คิดว่าเขาจะทักเธอ

“คือ...มัน...แค่…” ขิมพูดติดอ่าง ไม่รู้จะแก้ตัวว่าอะไรดี

พี่ภามมองภาพในสมุดอีกครั้ง ดวงตาของเขากวาดไล่ไปตามเส้นดินสอที่เธอลงน้ำหนักอย่างตั้งใจ

“ภาพมันเศร้า” เขาพูดเสียงเรียบ แต่กลับทำให้ขิมรู้สึกเหมือนถูกอ่านใจออก “แต่เส้นของเธอมันมีพลัง”

ขิมชะงักไป ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

ภาพที่เธอวาดเป็นเพียงเงาของแผ่นหลังคนคนหนึ่ง ไม่มีใบหน้า ไม่มีรายละเอียดที่บ่งบอกอารมณ์ชัดเจน แต่เขากลับมองออกว่ามัน "เศร้า" คนที่ดูเย็นชาแบบนี้ กลับมองเห็นความรู้สึกที่เธอซ่อนไว้ได้อย่างไร

มันทำให้ขิมรู้สึกเหมือนถูกเปิดเปลือย ราวกับว่ากำแพงที่เธอก่อขึ้นมาอย่างหนาแน่นกำลังถูกสั่นคลอนด้วยสายตาของเขา

พี่ภามไม่ได้รอคำตอบ เขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ขิมนั่งนิ่งอยู่กับสมุดร่างภาพและหัวใจที่ยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ

แสงแดดยามบ่ายยังคงสาดส่องลงมา แต่โลกของขิมในตอนนี้กลับไม่ได้เป็นสีเทาหม่นอีกต่อไป...อย่างน้อยก็ไม่ทั้งหมด มันเหมือนมีประกายสีขาวเล็กๆ แทรกซึมเข้ามาในความมืดมิดนั้น

เธอจ้องมองภาพเงาที่เพิ่งวาดเสร็จอีกครั้ง พยายามทำความเข้าใจความรู้สึกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในใจ ทำไมคนที่ไม่รู้จักกันเลย ถึงมองเห็นความเศร้าในภาพที่เธอวาด... และ ทำไมคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา ถึงทำให้เธอรู้สึก...ไม่โดดเดี่ยวเท่าที่เคย

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า "สีเทา" อาจจะไม่ใช่แค่ความว่างเปล่า แต่มันอาจมีเฉดที่ลึกซึ้งกว่าที่เธอเคยคิด และอาจจะมีบางอย่างที่รอการค้นพบอยู่ในนั้น"