ep5
“แม่นม เมื่อใด เราจักได้เรียนรู้ตัวยาสมุนไพรจากดอกหญ้าและต้นไม้เหล่านี้”
“เยาว์วัยอยู่ แต่มินานหมอไพรจะถวายงานให้องค์หญิงได้เรียนรู้ ภูมิรู้นี้ อยู่ที่ใดก็ไม่อดตายดอก” คุณท้าวทองเม็ดแม่นมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“แม่นม กล่าวเยี่ยงนี้ได้อย่างใดกัน ยศศักดิ์อย่างองค์หญิงมิรึ จักลำบาก ท่านใยกล่าวพล่อยถึงเพียงนี้”
“นี่เอ็งกล้าว่าข้าหรือ” คุณท้าวทองเม็ด กระทืบเท้าชี้หน้าด่าพี่เลี้ยงที่นั่งไม่ไกลจากเจ้ากัญญา
“ก็หรือไม่จริง จะสอนวิชาสมุนไพรให้องค์หญิง ก็สอนไปเถอะ เพราะองค์หญิงทรงสนพระทัยใคร่รู้ นี่กระไรมาสำทับว่า ภายหน้าจะได้ไม่ลำบาก”
พี่เลี้ยงมิยอมลดละ แต่ขยับถอยเข้าใกล้ธิดาองค์น้อย
“ไม่เอาล่ะ อย่ามีปากเสียงกันเลย จะลำบากหรือไม่ลำบาก ก็เป็นอนาคตภายภาคหน้าที่ยังมาไม่ถึง ตอนนี้แดดแรงแล้ว เรากลับกันเถอะ”
ธิดาองค์น้อยลุกขึ้นเดินเข้าพลับพลา เสวยน้ำดื่มที่ต้มจากดอกบัว....ตัวยา รสขมปร่าเจือหวาน เพราะพี่เลี้ยงผสมน้ำตาลอ้อยให้ทานง่าย
“วันพรุ่ง เราจักเดินตลาด ได้หรือไม่”
“เดินตลาดอีกแล้วฤๅ” คุณท้าวทองเม็ดตบอก แม้ความเข้มงวดของราชสำนักลดน้อยลง แต่การระแวงภัยกับเชื้อพระวงศ์ก็ยังมีอยู่ การเดินตลาด คนเดินสบาย แต่คนคุ้มครองแทบจะหยุดหายใจ
“เราชอบตลาด คนเยอะดี มีสินค้าที่เราไม่เคยเห็นหลายนัก”
“นี่ยังดีนะ เป็นพระธิดาองค์น้อย ถ้าเริ่มสาวละก็ จะเดินตลาดอย่างทุกวันนี้ไม่ได้หรอกนะ” คุณท้าวทองเม็ดบ่น
“ถ้าเราเติบใหญ่ ใยมิได้เดินตลาดนอกพระนครนั่นอีก”
“โถ แม่คุณ ผู้คนมากมายเช่นนั้น สงสารองครักษ์บ้างเถิดเพคะ”
เจ้ากัญญา ยิ้มหวานให้กับแม่นม นางรู้ว่า ทุกครั้งที่นางต้องการเดินเยี่ยมชมตลาด เหล่าองครักษ์ต้องคอยสอดส่องทุกย่างก้าว อีกทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ขาย ก็ล้วนยื่นของถวายให้มิได้ขาด นางมิรู้ว่าเจ้านายองค์อื่น จักรับของถวายแล้วย่างผ่านหรือไม่ หากแต่นาง ธิดาองค์น้อย เมื่อรับแล้วให้คุณท้าวทองเม็ด หยิบยื่นเบี้ยตามราคาของให้ทุกชิ้น แม้บรรดาคนต่างถิ่นเหล่านั้นจะมิยอมรับ แต่พวกมันก็หาได้ขัดพระประสงค์ได้ไม่
“ให้เราสงสาร เบี้ย หรือพดด้วงในไถ้แม่นม หรือองครักษ์?” นางยิ้มแย้มกล่าวถาม
“โถ แม่คุณ เบี้ยหอย พดด้วง เหล่านั้น ก็ขององค์หญิงทั้งนั้น หาใช่ของกระหม่อมไม่”
“ไม่รู้ซิ เราเห็นแต่แม่นมซักถามราคากว่าจะจ่ายค่าสินน้ำใจให้พวกเขา”
“โถ แม่คุณ ก็พวกตลาด พอรู้ว่า ถวายของแล้วได้เงิน มันก็ถวายทุกอย่าง จะไม่ให้หม่อมฉันซักถามราคามันได้อย่างไร”
“ให้เขาไปเถอะ สินน้ำใจที่มีให้ไพร่ฟ้า เสด็จแม่รับสั่งว่า มีค่านัก ของที่ได้มาก็แจกจ่ายไปทั่วถ้วนมิใช่รึ”
“จักมีใครพระทัยดีเหมือนเจ้ากัญญา ของหม่อมฉัน หาได้มีอีกแล้ว”
เจ้ากัญญา ยิ้มร่า นางเหมือน พระนางเก็จเกล้า ผู้เป็นมารดา ใจดีมีเมตตา และเย็นฉ่ำเหมือนน้ำฝนที่หยาดรินลงสู่ใจผู้คน
ตลาดปสาน นอกพระนครในวันพรุ่ง มิรู้ว่า จะเจอสิ่งใดอีก หนก่อนคว้าแมลงทับมาปล่อยหลายสิบตัว คราวนี้จะคว้าอะไรมาปล่อยอีก จรู๊ก หมู ก็เคยเอามาปล่อยในเขตพระราชฐาน สนมนางในวิ่งกันเกรียว บรรดาพี่เลี้ยงถูกทำโทษอดข้าวไป 2 วัน แม้เคืองเจ้ากัญญา แต่เมื่อพ้นโทษออกมา เห็นใบหน้าของนางแล้วก็คลายเคือง มิถือโกรธ เพราะใช่เพียงใบหน้านางที่มารับ แต่สำรับกับข้าวที่เตรียมอยู่เต็มตั่ง ก็ทำให้บรรดาพี่เลี้ยงเต็มตื้นในความห่วงใย
“ตกลงวันพรุ่ง แม่นมไปกับเรานะ ไปตลาดนอกพระนคร เราจักขอเสด็จพ่อเอง เสด็จพ่อมิเคยขัด”
“เหนือหัว มิเคยขัดสิ่งใดดอก หากเป็นความประสงค์ขององค์หญิง จะมีก็แต่ เจ้าชายเชื้อสายเมืองละโว้นั่นแหละ ที่มักจะไม่พอพระทัย” คุณท้าวทองเม็ดกล่าวเตือน
“ดูท่า แม่นม จะกริ่งเกรงใจ เจ้าฟ้าเสียนัก เจ้าฟ้าหาได้มีภัยกับเราดอก บางครั้งที่ขัดใจ ก็เพราะเราไม่ได้ดั่งใจเขาเท่านั้นเอง”
“อย่าไปสนิทชิดเชื้อกับเขาเลย เขามิได้ร่วมสายโลหิตจากพระเจ้าเหนือหัวเช่นเดียวกับองค์หญิงดอก”
“แต่เสด็จพ่อ ก็รักเจ้าฟ้าดังเช่น โอรส มิใช่ฤๅ เสด็จพ่อตรัสไว้ รักกันดังพี่น้อง อาณาจักรจึงจักมั่นคง”
............................
“มาจาก สะมะพูปุระ หรอกรึ” สุรเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยน ทอดลงมายัง คณะที่หมอบกราบอยู่กลาง ท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยศิลปะอันวิจิตร ตระการตา ประดับประดาด้วยทองคำ เพชรนิลจินดา และผ้าแพรเนื้อดีจากถิ่นประเทศไกลโพ้น ทำให้คณะที่ลัดเลาะลำน้ำของมาต่างหมอบกราบด้วยความชื่นชมในพระบารมี มิกล้าเงยหน้าขึ้นมอง คงทำได้แค่เพียงก้มมองพื้นพรมชั้นดีที่เป็นเครื่องบรรณาการของพ่อค้าฝั่งตะวันออกที่จมูกงองุ้มน่ากลัว
“ถูกต้องแล้วมหาบพิตร คนกลุ่มนี้ แจ้งว่าล่องแม่น้ำของมาตั้งแต่ล้านช้างทางเหนือ มาสุดเขตที่สี่พันดอน แห่งเมืองสะมะพูปุระ ตามที่อาตมาเคยแจ้งไว้แล้วเมื่อหลายปีก่อน คราวนั้นเพิ่งผลัดเปลี่ยนแผ่นดินมินาน จึงมิได้นำตัวมาถวาย มาถึงบัดนี้ เมื่ออาตมาเห็นว่าบ้านเมืองสงบแล้ว และเพื่อเป็นการเสริมบารมีของพระองค์ จึงควรชุบเลี้ยงผู้คนกลุ่มนี้เอาไว้”
พระมหาปาสมันต์ กล่าวเสียงเรียบ มิได้บ่งความรู้สึกอันใดให้ปรากฏ หากแต่กษัตริย์ผู้รู้ในฌานบารมีของพระสงฆ์ผู้นั่งอยู่หน้า ก็หยั่งรู้นัยของการนำคนเหล่านี้มาให้ชุบเลี้ยง
“คนของเวียงเชียงทองกระมัง”
