ep 4
เลาะชายฝั่งไปไม่ไกลเห็นท่าน้ำอยู่ริมของ ผู้สาว ผู้บ่าว ตักน้ำหาบคอนขึ้นบ่า ย่างขึ้นฝั่งอย่างคล่องแคล่ว ชายหนุ่มผู้หนึ่งร้องทัก จักไปไหน อันตรายแม่นแล้วปลายน้ำของนี้ เกาะแก่งมากมายนัก จักพากันตายเสีย
“เราเดินทางต่อมิได้แล้วหรือไร ปู่อิน” ตาสอนเอี้ยวตัวตามสหาย
ปู่อิน ไตร่ตรองดูสภาพลำของ ยิ้มในหน้าพลางส่งสัญญาณขนของขึ้นฝั่ง บริวาร ข้าเลี้ยง ทั้งชาย –หญิง กุลีกุจอ ด้วยร่าเริง ภาระกลางลำน้ำฤๅจักเสร็จสิ้นแล้ว ยามนี้จึงจักได้อยู่บนแผ่นดิน ปลูกผัก ปลูกหญ้า อย่างเคยชินเสียที
“พวกท่านจักมาอาศัยอยู่หมู่บ้านนี้ฤๅ ข้าต้องบอกนายบ้านก่อน ดินแดนนี้เป็นดินแดนของเจ้าเหนือหัวศรีนทรชัยวรมันแห่งศรียโสธรปุระ” ชายผู้นั้น ท่าทีตกใจ เมื่อเห็นกลุ่มคนกว่า 40 ทยอยขนข้าวของเครื่องใช้ลงจากแพ ราวกับจะจับจองพื้นที่มาปลูกสร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่กระนั้น
“โยมมิต้องลำบากดอก อาตมาจะให้พวกเขาอยู่กับอาตมาเอง” เสียงอ่อนโยนแทรกเข้ามา
“ท่านมหาปาสมันต์” ชายหนุ่มยอบตัวลงไหว้ กลุ่มแพเหลียวมองหน้าทรุดนั่งลงพร้อมกัน ยอบตัวไหว้ตามอย่างเก้กัง มิเคยรู้ คือ นักบวชใดกัน แต่ทีท่าน่าเกรงขาม ผิดแต่ฟ้างุ่ม ที่ยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คนที่ยอบตัวลงไหว้
“เจ้าคนนี้ ท่าทีอาจหาญประหลาดนัก ผิวพรรณวรรณะไม่ธรรมดา มาเถิด มากับเรา ไปอยู่ที่วัดของเรา เจ้าจักอิ่มท้อง และมีกำลังมากขึ้น”
พระมหาปาสมันต์ กวักมือเรียก ฟ้างุ่ม เข้ามาใกล้ ฟ้างุ่มเดินเตาะแตะเข้าไปหา สบตาที่อ่อนโยนที่แลทอดลงมา จึ่งยิ้มให้อย่างบริสุทธิ์เยี่ยงเด็กที่ไม่มีพิษภัย พระมหาปาสมันต์ยิ้มพอใจ ดึงรั้งร่างขึ้นอุ้ม แล้วพาเดินขึ้นลึกเข้าผืนดิน คำลือ และเอิบ เดินประกบข้างระแวงภัย....เมืองนี้ ฤๅ สี่พันดอน ขอบเขตอันตรายของลำน้ำของ
“เจ้าอยู่รักษาของไว้ที่นี่ พวกข้าจักตามสมณเจ้านั่นไปยังวัดของท่าน”
ปู่อิน บอกบริวารไว้ แล้วพยักหน้า บรรดาข้าเลี้ยงให้ตามไป พร้อมกับตาสอน
จนถึงวันนี้ ฟ้างุ่มเติบใหญ่ ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้เกินเด็กวัยเดียวกัน พระมหาปาสมันต์ บอกว่า อีกไม่นานรอให้เข้าสู่วัยหนุ่ม ให้ศรีสโยธรปุระสงบราบเรียบและรอพื้นพุทธศาสนา จักพาฟ้างุ่มไปถวายตัวอยู่ในเมืองพระนคร มิต้องลำบากอยู่ป่าไพร เช่น สะมะพูปุระ
.....................
เสียงเอ็ดอึงอยู่เบื้องหลัง ทำให้เจ้าหญิงกัญญาชะงัก มือน้อยที่กำลังเก็บดอกหญ้าใส่กระบุงสานสวยใบเล็กหดกลับ ร่างบางหยัดยืนขึ้น กล่าวโดยมิพอใจกับเหล่านางกำนัลที่ตามอยู่รอบข้าง
“เสียงใดกัน เอ็ดอึง มิเกรงใจเรา” ธิดาองค์น้อยขมวดคิ้ว ต้องการคำตอบโดยพลัน
มินานทหารเวร ที่ชะเง้อไปยังต้นทางเสียง เร่งรี่ก้าวโดยเร็วมาทูลตอบอยู่เบื้องหน้า
“พระมหาปาสมันต์ พระเจ้าข้า เดินทางมากับกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ดูท่าจักเป็นคนป่าคนเถื่อน มิรู้ธรรมเนียมในเมืองพระนคร”
“พวกเขาจักตรงมาทางนี้หรือไม่” ธิดาน้อยตรัสถาม
“มุ่งหน้าเข้าเมืองพระนครไปแล้ว พระเจ้าข้า”
“คงจักพาพวกป่าเถื่อนนั้นเข้าเฝ้า เสด็จพ่อ”
เสียงรำพึงแผ่วเบา นอกเขตพระนครนี้ พี่เลี้ยงนางใน และทหารกลุ่มหนึ่งพาออกมาดอก จึงได้มีโอกาสเข้ามาชื่นชมทุ่งหญ้านอกเมืองพระนคร บริเวณแถบนี้ มีพรรณไม้แปลกตามากมาย แต่เป็นพรรณไม้พื้นราบ ที่อวดช่อดอกสวยเล็ก ๆ นางต้องเดินอย่างระมัดระวังมิให้เหยียบย่ำลงบนดอกใบของมัน
“เจ้ากัญญา ชอบแต่ดอกหญ้า กล้วยไม้ในป่าสวยงาม จะเอาสักกี่ช่อ เราก็หามาให้ได้”
เจ้านภากาศ เคยกล่าวเมื่อครั้งที่นางหอบดอกหญ้าเต็มตะกร้าสานใบน้อย ๆ หิ้วมา 2-3 ใบ
“ข้าชอบดอกหญ้า มันเล็กๆ น่าเอ็นดู และไม่ค่อยมีคนมอง ท่านดูซิ พินิจดู จักเห็นว่ามันงามนัก”
เจ้ากัญญา ยื่นดอกหญ้าดอกน้อยให้ แต่เจ้านภากาศปัดทิ้งโดยทันที
“เหลวไหล ดอกหญ้ามันเหมาะกับพวกไพร่ ทาส ที่เด็ดดมชมเชย หาใช่ผู้สูงศักดิ์ดังสมมุติเทพเช่นเราไม่”
เจ้ากัญญา ทรุดตัวลงหมายจะก้มเก็บดอกหญ้าที่ร่วงพื้น แต่ช้าไป บาทของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ได้เหยียบมันเสียก่อนที่จะถูกมือน้อยเอื้อมคว้า เจ้าของมือน้อยน้ำตาคลอ หลุบตามองบาทที่ขยี้ดอกหญ้าจนแหลกลาญด้วยความสะเทือนใจ ส่วนเจ้าของบาทนั้น เมื่อกระทำแล้วก็เดินผ่านไปโดยมิเหลียวมองเจ้าของดอกหญ้าที่นิ่งงันอยู่แม้แต่น้อย
“มีอันใดหรือเพคะ องค์หญิง”
พี่เลี้ยงเห็นนางนิ่งงันไปจึงไต่ถาม นางตื่นจากภวังค์หนหลัง แล้วเอื้อมเก็บดอกหญ้าดอกน้อยต่อไป
“แม่ของเราเป็นแค่ เจ้าหญิงแห่งเมืองกุรุเกษตร หาใช่ เมืองใหญ่เยี่ยงละโว้ไม่ เยี่ยงนี้เองเราจึงถูกเจ้าฟ้ากลั่นแกล้งบ่อยนักหนา”
เจ้าฟ้า...ผู้คนที่นี่เรียกขาน เจ้านภากาศ ว่าเจ้าฟ้า ....เจ้าฟ้า เป็นเจ้าฟ้าจากเมืองละโว้
“หากไม่สาหัสจนทนแทบไม่ไหว ก็อย่าต่อกรเลยเพคะ”
คุณท้าวทองเม็ด แม่นม ที่นั่งอยู่ไม่ห่างในพลับพลาบอกสอน นางมิต้องการให้คนของเมืองกุรุเกษตรต้องขัดแย้งกับคนของเมืองละโว้ ละโว้ที่ทำทีราวกับจะเข้ากับกรุงอโยธยา มินานหรอกจักเป็นภัยต่อแผ่นดินเมืองพระนคร
