บทที่ 5
แม้จะพอทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ้าง แต่ทุกครั้งที่อยู่กับตัวเองอารมณ์ของภูวษาก็มักจะถูกฉุดรั้งจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเสมอ ดูได้จากงานที่ออกมาในตอนนี้เพราะมันดาร์คและหม่นหมองไม่ได้สดใสเหมือนเคย
“ส่งรูปอะไรมารู้ตัวหรือเปล่าริน” ทันทีที่ภูวษากดรับสายโทรศัพท์ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นทันที
“เอ้” ภูวษาอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะลนลานเปิดไฟล์งานที่ส่งให้ทีมบรรณาธิการ
“พี่ขอให้เธอวาดรูปฟุ้งๆ โรแมนติกๆ สีพาสเทลสวยๆ แต่ดูสิเธอส่งอะไรมา ปีศาจชัดๆ เลยนะนั่น” นิตยาถอนหายใจออกมาหนักๆ แม้นี่จะเป็นความผิดพลาดแรกของภูวษาแต่เธอก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะจะกระทบกับงานเอาได้
“ขะ...ขอโทษค่ะ เดี๋ยวรินวาดให้ใหม่นะคะ”
“เป็นอะไร ทำไมพักนี้สติถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยหรือเครียดเรื่องงานแต่งงานจ๊ะ” ปลายสายเอ่ยถาม เพราะที่ผ่านมาภูวษานั้นสดใสเสมอ
“เปล่าค่ะเปล่า”
“แต่เครียดยังไงก็ไม่ควรเอามาใส่กับงาน ไอเดียมันสำคัญสำหรับอาชีพเธอนะ พี่เข้าใจว่าการเป็นนักวาดในเว็บตูนมันไม่ง่าย มันกดดันด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็อยากให้เธอคิดย้อนกลับไปวันแรกๆ ที่ตัดสินใจจะทำงานชิ้นนี้เพราะอะไร”
“เพราะรินรักในจินตนาการตัวเองแล้วอยากดึงมันออกมาเป็นตัวการ์ตูนค่ะ” ภูวษาเอ่ยบอกอย่างหนักแน่น
“ใช่จ้ะ คนเรามันก็มีช่วงจังหวะไม่ดีเข้ามาทดสอบบ้าง แต่เมื่อมือจับปากกาแล้วก็ต้องสลัดทิ้งให้ได้” คำพูดของนิตยาทำให้ภูวษาอึ้งไป เพราะตอนนี้เธอกำลังปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจนทำให้เสียเรื่อง
“ขอบคุณนะคะพี่ ที่ช่วยดึงสติริน”
“นั่นเพราะพี่รักและเห็นพรสวรรค์ในตัวของริน สู้ๆ นะ”
“ค่ะ” ภูวษาเอ่ยรับแล้วแล้วดึงสมาธิกลับมาทำงาน แม้บางครั้งมันจะยากแต่เธอก็ไม่อยากปล่อยให้งานที่รักในตอนนี้หลุดมือไปเช่นกัน
เมื่อเธออยู่ในโลกของความชอบ ความหม่นหมองที่ครอบงำหัวใจก็ค่อยๆ ถูกไล่ต้อนออกไปจนภูวษานั่งทำงานอย่างราบรื่น ทว่าเมื่อกดส่งงานชิ้นใหม่ไปให้นิตยาแล้ว อารมณ์หม่นก็กลับมาเล่นงานอีกครั้ง
เธอถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วคว้ากุญแจรถรวมถึงกระเป๋าติดมือไว้จากนั้นก็ขับรถคู่ใจออกไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย กลางคืนของเมืองหลวงที่ชื่อว่ากรุงเทพฯ ยังคงดูสว่างไสว แต่ภูวษากลับรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งฝนตกปรอยๆ ลงมาด้วยแล้วอารมณ์ของเธอก็ยิ่งจมดิ่ง
ภูวษาขับรถมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงสะพานแห่งหนึ่ง เธอตัดสินใจจอดรถไว้แล้วลงไปยืนเกาะขอบราวสะพานไว้ เงยหน้าขึ้นมองฟ้าเพื่อให้สายฝนช่วยชะล้างคราบน้ำตาให้ ร่างบอบบางเปียกปอนและสะอื้นร้องไห้กับตัวเอง ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะแวบเข้ามาในหัว
ถ้าเธอกระโดดลงไปจากตรงนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ การตายจะเจ็บปวดมากหรือเปล่า นั่นทำให้ภูวษาค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนราวสะพาน แต่พอนึกสภาพศพตัวเองที่กว่าคนจะมาพบคงขึ้นอืดแล้วก็ขนลุก
“ตายเพราะกระโดดน้ำ ศพมันต้องขึ้นอืดเบอร์ไหน นึกสภาพแล้วคงน่าเกลียดไม่สวยแน่ๆ งั้นล้มเลิกไปก่อนแล้วกัน” ภูวษาคุยกับตัวเอง เธอสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วดึงสติ ดึงชีวิต ดึงพลังใจและทุกๆ อย่างที่ควรใช้เพื่อกอบกู้ตัวเอง
คนเราทำอะไรพลาดกันได้ทั้งนั้น แต่เมื่อพลาดแล้วก็ต้องแก้ไขและอยู่กับมันไปให้ได้ เธอจะไม่มีวันทำร้ายตัวเองอีก เพราะที่ผ่านมามันก็มากพอแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนั้นภูวษาจึงเช็ดน้ำตาให้แห้งแล้วกลับเข้ารถ สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วจึงขับกลับบ้าน ปล่อยให้ผู้ชายคนหนึ่งที่บังเอิญขับรถผ่านมาในเลนตรงข้ามแล้วเห็นเหมือนมีคนจะกระโดดสะพานฆ่าตัวตาย เขารีบจอดรถแล้ววิ่งข้ามถนนมาเพื่อหวังยื้อชีวิตของเธอคนนั้นไว้ ทว่าเวลานี้เขากลับยืนอยู่เพียงลำพัง
“หายไปไหนแล้ว” มิณทร์หันซ้ายหันขวามองหาผู้หญิงคนนั้น แต่กลับไม่เจอใครจึงชะเง้อมองลงไปด้านล่างที่เป็นแม่น้ำ
“หวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจไม่กระโดดลงไปหรอกนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก จังหวะที่จะเดินกลับเท้าก็เหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง พอก้มไปหยิบจึงเห็นว่าเป็นสร้อยข้อมือที่ห้อยตัวการ์ตูนเล็กๆ ไว้หลายตัว มิณทร์หยิบสร้อยเส้นนั้นติดมือไปด้วย ชายหนุ่มเดินกลับมาที่รถของตัวเองแล้วขับออกไป
ส่วนภูวษาเมื่อกลับมาถึงบ้านก็เตรียมอาบน้ำเปลี่ยนชุด เพราะไม่อยากปล่อยให้ตัวเองต้องจับไข้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อสร้อยข้อมือเส้นโปรดหายไป สร้อยที่มีเพียงแค่เส้นเดียวบนโลก เพราะเธอสั่งทำขึ้นมาพิเศษแล้วเอาตัวการ์ตูนที่วาดเองกับมือมาห้อย
“หายไปไหน” ภูวษาหน้าเครียดเพราะเธอรักสร้อยเส้นนั้นมาก แต่พอนึกว่าหายที่ไหนเวลาไหนตอนไหนก็นึกไม่ออกจนคิ้วผูกโบแล้วนั่งถอนหายใจออกมาดังเฮือกๆ อย่างเสียดาย
“แก...ทำไมไม่รับสายฉัน” ราตรีเอ่ยถาม เพราะเธอโทรหาภูวษาเป็นสิบๆ สายแต่เพื่อนกลับไม่ยอมกดรับจึงยิ่งใจคอไม่ดี
“ฉันไปขับรถเล่น แล้วจู่ๆ ก็คิดสั้นจนเกือบกระโดดสะพานฆ่าตัวตาย” ภูวษาสารภาพบอกไปอย่างไม่ปิดบัง และนั่นก็ทำให้ราตรีช็อก
“อะไรนะ แล้วตอนนี้แกอยู่ไหน”
“อยู่บ้าน ฉันยังปลอดภัยดีแก กลัวศพไม่สวยเลยไม่ได้กระโดดลงไป”
“แกนะแก รอที่บ้านเลย เดี๋ยวฉันไปหา” น้ำเสียงของราตรีฟังดูห้วนขึ้น
“มาหาทำไม”
“ฉันจะไปอยู่ด้วย ช่วงนี้ปล่อยแกไว้คนเดียวไม่ได้แน่”
“เดี๋ยวสิดาว เดี๋ยว” ภูวษาเอ่ยเรียกเพื่อน ทว่าตอนนั้นราตรีกลับวางสายไปแล้ว เธอรีบจัดกระเป๋าจากนั้นก็ขับรถออกจากคอนโดมิเนียมไปที่บ้านของภูวษาทันที
แต่ถึงแม้จะอยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่ราตรีก็ต้องออกไปทำงานที่ออฟฟิศจึงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนภูวษา เพราะเธอเป็นนักวาดการ์ตูนที่นั่งทำงานอยู่บ้านได้ ทุกวันที่ราตรีออกไปทำงานเธอมักจะโทรหาภูวษาเสมอ
“แกชักจะโทรหาฉันบ่อยเกินไปแล้วนะ บ่อยกว่าคุณติณห์เสียอีก”
“ก็ฉันเป็นห่วงแกนี่”
