บทที่ 4
“แล้วไปอยู่ไหนมา ถึงไม่เข้าบ้าน”
“บ้านเพื่อน” มิณทร์เอ่ยบอก เขากลับมาเมืองไทยได้อาทิตย์กว่าแล้วแต่ไม่ยอมเข้าบ้าน โดยใช้เวลานั้นไปกับการรำลึกอดีตรวมถึงไปในที่ที่อยากไป เพราะนี่คือการกลับมาเมืองไทยในรอบสิบปีของเขานั่นเอง
“แต่ยังไงก็ขอบใจที่กลับมาร่วมงานแต่งงานฉัน”
“อืม”
“เย็นนี้จะออกไปไหนหรือเปล่า” ติณห์เอ่ยถามขึ้น
“เปล่า”
“ก็ดี เพราะฉันเองก็ไม่มีนัดที่ไหน ครอบครัวเราจะได้นั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน” ติณห์เอ่ยบอกแล้วกลับมาสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ
ส่วนมิณทร์ก็ขอตัวกลับขึ้นห้องตัวเองเช่นกัน เมื่อเปิดประตูเข้ามาชายหนุ่มก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง ที่ทุกอย่างยังถูกวางไว้ในตำแหน่งเดิมของมัน รวมถึงความสัมพันธ์ของเขากับคนในบ้านก็มีช่องว่างเช่นเดิม
แม้เขาจะได้ชื่อว่าน้องที่คลานตามกันมา
แม้เขาจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนพี่ชายฝาแฝดของตัวเองราวกับแกะ เหมือนขนาดที่ใครหลายต่อหลายคนทักผิดทักถูกมาตลอดหลายปี
แต่ถึงแม้รูปร่างภายนอกจะเหมือนกันขนาดไหน เขาก็ยังเป็นเขารวมถึงติณห์เองก็ยังเป็นติณห์ ทุกอย่างมันมีความต่างเสมอซึ่งเขารู้ดีกว่าใคร รวมถึงความต่างเรื่องความรักที่แม่มีให้เขากับพี่ชาย หากเต็มร้อยติณห์ได้รับไปแล้วเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ส่วนเขาได้เพียงแค่ห้าเท่านั้น สิ่งนั้นคือตัวผลักดันสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกจะออกไปจากที่นี่
มิณทร์ถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสายตามองขึ้นไปบนเพดานห้อง ในหัวกำลังคิดถึงผู้หญิงคนเมื่อคืน ผู้หญิงที่เอาแต่เรียกเขาว่าติณห์ตลอดเวลาที่อยู่บนเตียง นั่นทำให้มิณทร์มั่นใจว่าเธอคนนั้นต้องรู้จักกับพี่ชายเขาอย่างแน่นอน ดีไม่ดีอาจเป็นแฟนเก่าที่กำลังช้ำใจเพราะพี่ชายเขากำลังจะแต่งงาน ถึงได้ดื่มเหล้าจนเมาแบบนั้นก็เป็นได้
และก่อนที่จะคิดอะไรไปไกล จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น มิณทร์คว้ามันออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อมองว่าใครโทรมา เมื่อเห็นชื่อจึงกดรับสาย
“ว่าไงไตร”
“อยู่ไหนแล้วครับเพื่อน”
“บ้าน”
“อ้าว! เข้าบ้านแล้วเหรอ” ปลายสายเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เพราะเท่าที่จำได้เหมือนเพื่อนเคยบอกว่าจะยังไม่เข้าบ้านเร็วๆ นี้
“อืม...เข้ามาให้มันจบๆ” อันที่จริงมิณทร์อยากกลับมาก่อนวันแต่งงานของติณห์สักสองสามวัน แต่ผู้เป็นพ่อก็ขอร้องให้กลับมาก่อนสักระยะ
“เอานะ อีกไม่นานพี่ชายมึงก็เข้าพิธีแต่งงานแล้ว เสร็จงานค่อยบินกลับแต่คราวนี้กูขอไปด้วยนะ อยากไปเล่นสกีวะ”
“ไปสิ”
“งั้นเพื่อตอบแทนมึงที่ให้ที่อยู่ที่กิน กูออกตั๋วเครื่องบินให้” ไตรฉัตรรีบพูดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะปฏิเสธ นี่ถ้าไม่มีงานแต่งงานของติณห์เขาคงไม่มีโอกาสได้เจอเพื่อนที่เมืองไทยแน่นอน อยากเจอทีต้องบินไปสวีเดนที
“ไม่ปฏิเสธ” มิณทร์เอ่ยรับเพราะต่อให้เขาปฏิเสธยังไงอีกฝ่ายก็หักคอให้รับน้ำใจนั้นอยู่ดี เขากับไตรฉัตรคบหาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม สนิทกันมากกว่าพี่ชายฝาแฝดที่คลอดก่อนเขาเพียงแค่สองนาทีด้วยซ้ำ
ในหัวของมิณห์กำลังคิดย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขาตัดสินใจว่าจะไปเรียนต่อยังต่างประเทศ อันที่จริงพ่อกับแม่มีเงินพอจะส่งเขาไปเรียนในประเทศที่ต้องการได้สบายๆ แต่เขาเลือกที่ไปด้วยขาของด้วยเองเพราะมันภาคภูมิใจมากกว่า จึงตัดสินใจเข้าสอบชิงทุน
เมื่อสอบชิงทุนได้จึงหาโฮสต์แฟมิลี่ที่นั่นดูแล ทำเรื่องเอกสารเองทุกอย่างพ่อกับแม่มีหน้าที่แค่เซ็นรับทราบเท่านั้น จำได้ว่าก่อนเดินทางพ่อเข้ามาขอให้เขาเปลี่ยนใจเพราะอยากให้เรียนที่ไทยมากกว่าซึ่งเขาก็ยืนกรานที่จะไป โดยระหว่างเรียนก็ทำงานพิเศษไปด้วยแม้พ่อจะส่งเงินให้ทุกๆ เดือนก็ตาม แต่เขาก็แทบไม่เคยแตะเงินก้อนนั้นเลย หลังจากนั้นเขาก็ได้ข่าวว่าติณห์เองบินไปเรียนที่อังกฤษเช่นกัน
เมื่อเรียนจบเขาก็เลือกที่จะไม่กลับไทย โดยให้เหตุผลไปว่าอยากทำงานหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศ ซึ่งเขาก็ทำหลายอย่างมากกระทั่งมาลงตัวที่ธุรกิจนำเข้าอาหารไทยและเอเชียไปวางขายตามซุปเปอร์มาเก็ตรวมถึงบรรดาร้านค้าที่นั่น ซึ่งธุรกิจเขาก็ไปได้สวยทีเดียว แม้แรกๆ มันจะล้มลุกคลุกคลานไปบ้างก็ตามที ทว่าตอนนี้กำลังขยายกำลังออกไปทั่วยุโรปเพราะมีพาร์ทเนอร์ดีๆ เข้ามาช่วยซัพพอร์ต
“แล้วเย็นนี้มึงว่างไหม ออกไปหาอะไรกินกัน”
“โทษที พอดีกูนัดที่บ้านกินข้าวแล้วว่ะ”
“เออๆ ไม่เป็นไร ไว้วันหลังก็ได้”
“อืม” มิณทร์เอ่ยรับเพียงแค่นั้นและเมื่อวางสายจากไตรฉัตร สมองเขาก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอีกครั้ง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงยังลืมผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เสียที
บนโต๊ะอาหารของมื้อเย็นวันนั้น ครอบครัวศีลพิบูลย์ก็อยู่พร้อมกันในรอบหลายปี แม้จะไม่ได้เจอกันนานทว่าผู้เป็นแม่กลับไม่แม้แต่จะสวมกอดลูกชายคนเล็กหรือถามสารทุกข์สุกดิบ ต่างไปจากผู้เป็นพ่อที่ต้อนรับการกลับมาของมิณทร์เป็นอย่างดี
“นั่งๆ กินข้าวกัน” มนตรีเอ่ยบอก ทุกคนจึงนั่งประจำที่ของตัวเอง จากนั้นก็พูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วๆ ไป ทว่าไม่นานหัวข้อการสนทนากลับมีแต่เรื่องงานแต่งงานของติณห์ทั้งนั้น ซึ่งมิณทร์ก็มีหน้าที่แค่ฟังเพราะเขาแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยแม่งานคนสำคัญคือแม่นั่นเอง
แม้จะนั่งกันอยู่สี่คน แต่มิณทร์กลับรู้สึกโดดเดี่ยว ทุกอย่างรอบตัวเขาหมุนวนไปด้วยความเร็วจนจับภาพแทบไม่ทัน มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ยังคงช้าและอยู่กับที่
