บทที่ 4
“ให้เขาสองคนลองศึกษากันดูก่อนไม่ใช่ต่างฝ่ายก็ต่างหนีหน้ากันแบบนี้ เพราะถ้าเข้ากันไม่ได้ พ่อกับเมธีก็พร้อมที่จะยกเลิกสัญญานั่น”
“ทำไมพ่อถึงมั่นใจแบบนั้นครับ”
“ก็เพราะวาโยคือคนที่ช่วยชีวิตน้องเราไว้น่ะสิ จำได้ไหมว่าเครปเคยจมน้ำและคนที่เข้าไปช่วยคือใคร”
“ผมจำได้ครับ แต่…” แม้จะจำได้แต่อนาวินก็พยายามจะแย้ง
“พ่อเชื่อว่าสองคนนั้นเขาเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน” ความเชื่อมั่นในเรื่องนี้สำหรับเรวัตเขาไม่เคยเปลี่ยนรวมถึงเมธีด้วย เพราะตอนเด็กๆ วาโยเคยให้คำมั่นว่าจะดูแลศรินภัสร์ไปจนวันตาย แต่ไม่รู้ทำไมพอโตขึ้นกลับลืมสัญญานั้นเสียแล้ว รวมถึง ศรินภัสร์เองก็ด้วยที่จำผิดคิดว่าคนที่ลงไปช่วยตนตอนจมน้ำคือวรชัย เพื่อนรุ่นพี่ที่โรงเรียนซะอย่างนั้น แม้จะไม่อยากเชื่อพ่อแบบเต็มร้อยก็ตาม แต่อนาวินก็ไม่เซ้าซี้ไปมากกว่านี้ เพราะอยากให้พ่อพักผ่อนจากอาการป่วยนั่นเอง
ผกากับรดาที่ปอกผลไม้เสร็จแล้วเดินเข้ามาหาทั้งสองคน ผกายื่นจานผลไม้ที่เธอเพิ่งปอกเสร็จให้สามี ส่วนรดาเองก็ยื่นอีกจานให้ชายคนรัก ทั้งสองไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แต่รดาคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดบันทึกวีดีโอไว้ บางทีวีดีโอนี้อาจช่วยให้คนรักของเธอหายทุกข์ใจเรื่องน้องสาวได้บ้าง อนาวินสบตากับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเข้าใจสิ่งที่รดากำลังทำแบบไม่ต้องพูด
“ทานหน่อยนะคะคุณ”
“ยังไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับลูกเครปใช่ไหม” สิ่งที่เรวัตเอ่ยถามทำให้ผกาส่งยิ้มกลับไป
“ยังไม่มีค่ะ ทุกคนทำตามที่คุณขอ”
“ดีแล้ว ผมไม่อยากให้ลูกโกรธเพราะคิดว่าผมโกหกแกอีก”
“คุณคะ แต่คราวนี้คุณป่วยจริงๆ ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะดึงยายหนูกลับมาสักหน่อย ฉันว่าเราน่าจะบอกลูกนะ” ผกาเอ่ยขอ แววตาเธอดูกังวลมาก
“ผมไม่อยากบังคับเขา ถ้าเครปจะกลับมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อีกหน่อยผมก็หายดีกลับบ้านได้แล้ว คุณไม่ต้องห่วง” เรวัตกุมมือภรรยาที่เป็นคู่ชีวิตไว้หลวมๆ ก่อนที่ผกาจะยื่นผลไม้ให้สามีทาน เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้เป็นทีมหมอและพยาบาลที่เข้ามาตรวจอาการคนไข้ รดาบันทึกวีดีโอการสนทนานี้ไว้ทั้งหมดกระทั่งทีมหมอและพยาบาลเดินกลับออกไปหลังจากตรวจอาการของเรวัตเรียบร้อยแล้ว
“ส่งให้น้องเครปตอนนี้เลยดีไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอนาวินเบาๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน
“ไม่ดีกว่า อีกสองสามวันผมมีคุยงานที่อังกฤษ ผมจะเอาคลิปนี้ไปให้ยายเครปดูเองกับมือ”
“ค่ะ” รดาเอ่ยเห็นด้วย คืนนี้หญิงสาวอาสามาเฝ้าเรวัตเป็นเพื่อนผกา เย็นวันนั้นนาวินก็ลงมาเยี่ยมพ่ออีกคน ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นผู้บริหารโรงแรมอยู่ที่เชียงใหม่ซึ่งขยายสาขาไปที่นั่น เมื่อเคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยก็รีบนั่งเครื่องมาทันที ครอบครัวถาวรกิตติอยู่กันเกือบพร้อมหน้าพร้อมตาจะขาดก็แค่ศรินภัสร์เท่านั้น
ส่วนคู่หมั้นของศรินภัสร์ที่ชื่อวาโย ชายหนุ่มยังคงทำงานที่ปางไม้ของครอบครัวซึ่งอยู่ที่เชียงราย คนที่นี่เรียกเขาว่าพ่อเลี้ยงบ้าง แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่นัก ชื่อนั้นเหมาะสำหรับพ่อเขามากกว่า วาโยสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เขายังเด็ก ชายหนุ่มจึงเติบโตมากับพ่อสองคน พ่อผู้ซึ่งเป็นทั้งพ่อและแม่ในคนๆ เดียวกัน เมื่อเขาเรียนจบก็รับหน้าที่สานต่อธุรกิจค้าไม้จากบิดาทันที ชายหนุ่มทุ่มเทให้กับงานที่เขาทำ ไม่เคยเก็บเรื่องของศรินภัสร์มาคิดให้รกสมอง เพราะตนไม่มีทางแต่งงานกับใครที่ไม่ได้รักแน่นอน
ปานชีวาคือผู้หญิงคนล่าสุดที่เขาคบหาในฐานะคนรัก เขาเพิ่งคบกับเธอได้สี่เดือนกว่าแล้ว ความที่ปานชีวาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีจึงมีงานอดิเรกเป็นนางแบบ เธอมาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่สำหรับเขาเรื่องฐานะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรัก แต่กลับมองว่าปานชีวานั้นขยันทำมาหากิน ส่งผลให้ครอบครัวเธอค่อยๆ ร่ำรวยขึ้น
แม้จะมีบางสิ่งที่เขาไม่ชอบใจนักคือการที่หญิงสาวมักใช้เงินฟุ่มเฟือย ของแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่เขาก็เลือกที่จะมองข้ามไป เนื่องจากสิ่งของที่เธอใช้ล้วนแต่หาซื้อมาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของปานชีวาเองทั้งสิ้น เธอไม่เคยแบมือขอเงินเขาใช้ มีแต่เขาที่รู้ว่าเธอชอบอะไรก็จะซื้อให้ตามโอกาส เขายอมรับว่าไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติกกับคนรักมากมายนัก ไม่อย่างนั้นคนก่อนๆ ก็คงไม่เลิกรากันไปหรอก
“พักได้แล้วค่ะ” ปานชีวาแอบเดินมาทางด้านหลัง ก่อนจะใช้มือปิดตาชายหนุ่มที่มัวแต่นั่งเหม่อจนไม่รู้ว่าเธอเข้ามาในห้องทำงานเขา
“มานี่”
“อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานออกมา เพราะอยู่ๆ วาโยก็รั้งตัวเธอให้ลงมานั่งบนตักเขาอย่างง่ายดาย ก่อนจะบีบจมูกโด่งรั้นของหญิงสาวอย่างเอ็นดู เมื่อครู่เขานั่งเหม่อมากขนาดลืมสังเกตเชียวเหรอว่าปานชีวาเข้ามาในห้อง “หิวข้าวหรือยังคะ” เสียงหวานๆ สมชื่อเล่นเอ่ยถามพร้อมส่งยิ้มมาให้
“นิดหน่อยครับ”
“หวานทำข้าวซอยมาฝากคุณ เห็นวันก่อนบ่นว่าอยากทานใช่ไหม”
“ครับ บนโลกนี้จะมีใครรู้ใจผมเหมือนคุณบ้างนะ” วาโยเอ่ยชมในความน่ารักของปานชีวา
“ก็รักนี่คะ แล้วคุณลุงล่ะคะอยู่หรือเปล่า จะได้ชวนมาทานด้วยกัน”
“คุณพ่อลงไปกรุงเทพฯ น่ะครับ เห็นว่าไปเยี่ยมเพื่อนที่ป่วย”
“น่าเสียดายจัง” สีหน้าของหญิงสาวดูผิดหวังนิดหน่อย เพราะตั้งใจทำข้าวซอยมาเพื่อเอาใจเมธี เนื่องจากรู้ว่าพ่อของวาโยไม่ค่อยเปิดใจรับเธอในฐานะคนรักของลูกชายสักเท่าไหร่ และเหตุผลที่เป็นแบบนั้นเธอก็พอรู้มาบ้าง แต่เธอก็ไม่สนใจ เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าวาโยรักเธอคนเดียว
