3. ลบเลือน (1)
‘ข้าจะลบเงาท่าน ออกจากใจของข้าให้จนได้’
.
.
.
หมอหลวงพากันมายืนรออยู่หน้าตำหนักกวนผิงพักใหญ่ ในที่สุดก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาตรวจพระอาการของมารดาแผ่นดิน
อาการหลับไม่ตื่นของพระนางทำให้เหล่าหมอหลวงเคร่งเครียดมาตลอดสิบกว่าวัน พอรู้ว่าวันนี้เสิ่นฮองเฮาฟื้นคืนสติ ต่างก็โล่งอกกันถ้วนหน้า
“ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านหมอหลวง”
“องครักษ์อู่อย่าได้กังวล พระวรกายดีขึ้นเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว ขอเพียงฮองเฮาเสวยให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มโอสถทุกเช้า ก็จะดีขึ้นในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้ขอฮองเฮาอย่าพึ่งออกไปตากลมด้านนอกนะพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงถอนมือออกจากข้อแขนเล็กด้วยใบหน้ายินดี
“ขอบใจท่านหมอมาก ข้าติดหนี้พวกท่านแล้ว”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา”
เสิ่นหนิงจินพยักหน้าให้ขันทีฟ่งออกไปส่งหมอหลวง ก่อนจะยื่นมือให้แม่นมซูช่วยพยุงไปนั่งในสวนหลังตำหนัก อยู่แต่ในห้องบรรทมก็พลันจะทำให้รู้สึกอุดอู้เบื่อหน่ายเสียเปล่าๆ
“แม่นมซู แจ้งออกไปว่าร่างกายข้ายังอ่อนแอ แม้จะฟื้นแล้วก็ยังต้องพักผ่อน ให้เว้นการคำนับเช้าไปก่อน ข้ายังไม่อยากมีเรื่องให้กวนใจ”
“เพคะ หม่อมฉันจะบอกขันทีหน้าตำหนัก ว่ามิให้ผู้ใดเข้ามารบกวน”
“อืม” เสียงครางตอบรับในลำคอ ทำให้เต๋อคุนและซูถิงมองหน้ากันอย่างเศร้าใจ บ่าวที่ติดตามคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก มีหรือจะไม่รู้ว่าภายในใจของคุณหนูบอบช้ำเพียงใด
“คุณหนูขอรับ”
“หืม เหตุใดเรียกข้าเช่นนั้นเล่า หากใครได้ยินมีหวังเจ้าได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่” หนิงจินส่ายหน้ายิ้มๆ นางมิได้ใส่ใจเรื่องยศศักดิ์ มิทะนงตนว่าเป็นถึงฮองเฮา มีอำนาจเป็นรองเพียงคนไม่กี่ผู้
นิสัยเช่นนี้เป็นดาบสองคม มีทั้งดีทั้งเสีย
“ก็บ่าวชอบตอนที่คุณหนูยังไม่เข้าวังมากกว่า จำได้หรือไม่ขอรับ ที่เราแอบตามคุณชายใหญ่ไปหอโคมเขียว จนเกือบถูกจับได้ ฮ่าๆ”
“เหตุใดจะจำไม่ได้เล่า ข้าจำได้ว่าเจ้าแอบเอาชุดกระโปรงพี่สาวในหอคณิกามาใส่ เราจึงรอดมาได้ คิกๆ” หนิงจินนึกถึงภาพนั้นก็หัวเราะออกมา วันนั้นนางกลัวจนแทบถ่ายเบาออกมาเปื้อนเสื้อผ้า
“หา! มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือเพคะ เหตุใดหม่อมฉันไม่รู้”
“เอ่อ ขะ ข้า- ก็เต๋อคุนน่ะสิ พาข้าแอบตามพี่ใหญ่ไป”
“คุณหนูต่างหากที่ขู่บ่าวว่า หากไม่ไปด้วยจะเอาบ่าวไปทิ้งวัด ให้โกนผมเป็นหลวงจีน เรื่องแอบดื่มสุราของนายท่านก็ด้วย คุณหนูเป็นผู้ออกความคิดเอง”
“เต๋อคุน!”
“ตายๆ หม่อมฉันจะเป็นลม” ซูถึงนึกถึงเรื่องที่นายท่านเสิ่นโวยวาย ตามหาสุราที่ตั้งใจหมักข้ามปี ไม่คิดว่าที่แท้หัวขโมยคือคุณหนูของเรือน
“แม่นมซูดุข้าคนเดียวไม่ได้นะ สุราไหนั้นพี่ใหญ่ก็ดื่มด้วย ฮ่าๆ” หนิงจินหัวเราะออกมาเต็มเสียง พอได้มองย้อนไปในอดีต ตอนนั้นนางมีความสุขมากจริงๆ ไม่ต้องสนใจสิ่งใด ขอเพียงได้ใช้ชีวิตสนุกๆ ไปวันๆ ก็พอแล้ว
ตื่นมาได้ทานข้าวรสมือท่านแม่กับแม่นมซูจนอิ่มท้อง เรียนการบ้านการเรือนชั่วครู่ก็ได้ออกไปเที่ยวเล่น มีลูกสมุนเป็นเสี่ยวคุนคอยเดินตาม แวะไปหาพี่ใหญ่ที่สำนักศึกษา แอบให้พี่ใหญ่สอนฟันดาบยิงธนู
ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ต่างจากสี่ห้าปีที่ผ่านมา...
“จริงสิ เสี่ยวคุน ข้าว่าจะให้เจ้าช่วยรื้อฟื้นเพลงดาบเสียหน่อย ไม่ได้ฝึกซ้อมเสียนานจนลืมไปหมดแล้ว ขี่ม้า ยิงธนูก็ด้วย”
“จะดีหรือเพคะฮองเฮา”
“ให้ข้าทำสิ่งที่อยากทำเถิดแม่นมซู ท่านก็รู้ว่าก่อนหน้า ข้าฝืนทนในสิ่งที่มิใช่ตนเองมานานพอแล้ว” สายตาออดอ้อนปนเศร้าหมอง ทำให้ใจนางกำนัลอาวุโสอ่อนยวบ
เหตุใดจะไม่รู้ว่าคุณหนูของนางมิชมชอบการเย็บปักถักร้อย ไม่ชอบที่ต้องมานั่งนิ่ง ปั้นหน้ายิ้มอ่อนให้กับคนที่ตนเกลียดชัง แต่เพราะต้องมาอยู่ในฐานะฮองเฮาจึงต้องฝืนทน เก็บความสดใส มุทะลุ เอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่ปั้นแต่งพวกนั้น
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ แต่อย่างไรต่อหน้าผู้อื่นก็ต้องรักษากิริยา อย่าให้ถึงขั้นท้าประลองกับองครักษ์หน้าตำหนักนะเพคะ”
“ข้าไม่ทำๆ ข้ารักแม่นมซูที่สุด”
“เช่นนั้นเริ่มวันพรุ่งเลยดีหรือไม่ขอรับ ร่างกายคุณหนูจะได้แข็งแรงขึ้นในเร็ววัน”
“เอาสิ แต่เจ้าเบาแรงกับข้าเสียหน่อย ร่างกายข้าตอนนี้ไม่รู้จะจับหอกจับดาบไหวหรือไม่” เสิ่นหนิงจินยิ้มรับอย่างดีใจ แต่ก็แอบกังวลว่าตนเองจะทำได้ไม่ดี เพราะหลังจากที่เข้าวังมา นางก็มิได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้อีกเลย วุ่นวายอยู่กับการดูแลวังหลัง
“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีฟ่งหนานที่หายไปส่งหมอหลวง เรียกให้หนิงจินหันมองตาม
เห็นชายเนื้อดีโผล่ออกมาจากด้านหลังขันทีฟ่ง เด็กน้อยยื่นใบหน้าออกมาเพียงครึ่งเสี้ยว มองตรงมาที่หนิงจินด้วยแววตาใสซื่อ จนคนถูกมองเผยยิ้มอ่อนโยนออกมา
“เสี่ยวไป่ ขึ้นมานี่สิ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขาเล็กทั้งสองก้าวย่างอย่างสงบ ขึ้นมาบนศาลา ร่างเล็กก้มหมอบคำนับตามกฎระเบียบที่ถูกสอน ไม่ผิดแม้เพียงขั้นตอนเดียว
ด้านหนึ่งอาจมองว่าเป็นเรื่องดี ที่เด็กวัยเพียงห้าหนาวรู้จักกาลเทศะ แต่อีกด้านหนึ่งหนิงจินกลับนึกสะท้อนใจว่านางเข้มงวดกับเด็กชายมากเกินไปหรือไม่
เสิ่นหนิงจินมิเคยเป็นแม่คน ซ้ำบุตรที่ต้องดูแลยังเป็นโอรสของคนรักกับสตรีอื่น ก่อนหน้าจึงคิดเพียงว่าจะเลี้ยงเขาให้เป็นองค์ชายที่ดี เผื่อสวามีจะเห็นความดีของนางบ้าง จนลืมคิดไปเสียสนิทว่าสิ่งที่เด็กน้อยต้องการ คือความรักและความใส่ใจ
“เสด็จแม่ไม่เจ็บปวดที่ใดแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม แม่ดีขึ้นแล้ว ต้องขอบใจดอกไม้ของเจ้า ช่วยให้แม่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก” สรรพนามที่เปลี่ยนไป ทำให้ข้ารับใช้ต่างยิ้มตาม องค์ชายเป็นเด็กรู้ความ พวกเขาย่อมหวังให้ฮองเฮามอบความรักให้องค์ชายสักนิด
ก่อนหน้าแม้ไม่เคยว่าร้ายทุบตี แต่ก็ไร้ซึ่งความอบอุ่น ครานี้เอ่ยแทนพระองค์เองว่าแม่ องค์ชายคงดีใจไม่น้อย
“ลูกยินดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ! วันนี้ลูกก็เตรียมมาด้วย” มือเล็กล้วงเข้าไปเอาดอกไม้ในสาบเสื้อของตน ยื่นสิ่งที่ตั้งใจตลอดช่วงเช้าให้มารดา
“งดงามนัก เจ้าทำเองหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” อุ้งมือทั้งสองโอบอุ้มช่อดอกไม้อย่างทะนุถนอม
“ขอบใจ...นี่รางวัลของเจ้า มานี่สิ ประเดี๋ยวแม่จะป้อนให้” สายตาสว่างจ้าพร้อมกับท่าทีลุกลี้ลุกลน ขยับเข้ามาอ้าปากงับขนมของเด็กชาย สร้างความหนักอึ้งในใจของหนิงจิน รู้สึกผิดที่ก่อนหน้าใช่เด็กบริสุทธิ์เป็นเครื่องมือ
“ถูกปากหรือไม่”
“...รสดียิ่งพ่ะย่ะค่ะ” แก้มใสเคี้ยวกรุบกรับ ก่อนจะกลืนลงท้องแล้วเอ่ยตอบ
“หึๆ จริงสิ ช่วงนี้หมอหลวงยังมิให้แม่ออกนอกตำหนัก หากเจ้ามีสิ่งใดก็มาหาแม่ที่นี่ได้”
“ลูก...มาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ จะไม่รบกวนเสด็จแม่ใช่หรือไม่”
“จะมาเมื่อใดก็มา หากอยากมานอนที่นี่ก็บอก” เสิ่นหนิงจินมองเห็นเงาตนเองในตัวเด็กตรงหน้า อีกฝ่ายเหมือนนางเหลือเกิน ขาดครอบครัว ไร้ที่พึ่งพิง แม้ฝ่าบาทจะเอ็นดูไป่เฉิงมาก แต่ก็มีราชกิจที่ต้องทำ
คงโดดเดี่ยวอ้างว้างมากเลยสินะ