ตอนที่ 10 ยอมตามใจ
เขมทัตกับอัยยาเดินผ่านร้านลูกชิ้นปลาระเบิดกำลังทอดเป่ง ๆ อยู่ในกระทะกลิ่นหอมฉุยชวนให้คนที่ไม่ได้กินอาหารตั้งแต่บ่ายท้องร้องโครกคราก
“ขอซื้อของกินก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็เดินแยกไปยืนหน้าร้านลูกชิ้น เขมทัตหน้าเหวอมองร้านขายอาหารรอบข้างที่เขาไม่เคยกิน
“จะกินได้เหรอ อร่อยหรือเปล่า สะอาดมั้ย?” เขาเดินไปพูดเสียงกระซิบกระซาบข้างหลังเธอเอียงมองเล็กน้อยแล้วยื่นเงินให้แม่ค้าก่อนจะรับถุงลูกชิ้นมาเปิดจิ้มลูกชิ้นขึ้นมาเป่าก่อนเอาเข้าปากเคี้ยว ๆ แล้วพ่นลมคลายร้อนหน้าฟิน เขมทัตมองเธอกินลูกชิ้นอย่างเอร็ดอร่อยกลิ่นหอมยั่่วน้ำย่อยจนเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ อัยยาอมยิ้มจิ้มลูกชิ้นอีกลูกขึ้นมาเป่าก่อนจะยื่นไปที่ปากของเขมทัต
“ลองหน่อยอร่อยนะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเชิญชวนให้เขากินลูกชิ้น เขมทัตเหลือบมองลูกชิ้นก่อนจะอ้าปากงับลูกชิ้นปลาระเบิดที่ราดน้ำจิ้มรสเด็ดเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ พยักหน้าชอบใจในรสชาติ
“พอกินได้”
“เดินไปทางโน้นกันนะคะ มีหลายอย่างที่อยากกินเดี๋ยวอัยเลี้ยงเอง” นิ้วเรียวชี้ไปทางซ้ายมือที่มีร้านอาหารเรียงราย
“ซื้อลูกชิ้นนี้เพิ่มไปกินที่คอนโดกัน”
“ไหนว่าพอกินได้”
“มันดึกแล้ว ขี้เกียจแวะหาของกินอย่างอื่น” เขาเลี่ยงมองไปทางอื่นทำไม่รู้ไม่ชี้ อัยยาส่ายหน้าขำ ๆ เจ้าหนี้ขี้เก๊กก่อนจะกลับไปซื้อลูกชิ้นเพิ่มให้เขมทัต
ทั้งสองเดินซื้ออาหารแบบสะดวกกินเดินซื้อไปกินไป อัยยาคอยป้อนอาหารเข้าปากเขมทัตที่หอบสัมภาระให้ จนมาถึงบึงน้ำกว้างมีสนามหญ้าข้าง ๆ ผู้คนมากมายนั่งกินอาหารกบนสนามรอดูพลุที่ทางงานมีโชว์ตอนห้าทุ่มตรง อัยยาชวนเขมทัตนั่งกินอาหารที่ซื้อมาเพื่อรอดูพลุที่จะโชว์ในอีกห้านาที เขมทัตวางสัมภาระแล้วนั่งลงข้าง ๆ เธอทั้งที่เหนื่อยล้าแต่ก็ยอมตามใจเธอ
ไม่นานนักความสวยงามของพลุที่จัดแสดงก็สว่างจ้ากระจายหลากสีเสียงดังสนั่นบนท้องฟ้ามืดสนิท อัยยาเงยมองตามีประกายคิดถึงความสุขวัยเด็กเคยนั่งดูพลุกับพี่สาวสุดที่รัก เขมทัตเงยมองบนท้องฟ้าหันมองอัยยาที่นั่งข้างกายเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมานั่งบนสนามหญ้าดูพลุฟรีกินอาหารง่าย ๆ ในถุงพลาสติกไม่ได้จัดจานหรูหราอย่างที่เขาเคยกิน อัยยาทำให้เขาพบกับความแปลกใหม่ในชีวิตที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาเห็นเธอกำลังยิ้มแต่ดวงตาเธอมีน้ำตาปริ่มขอบเบ้าใกล้จะไหลจากแสงพลุสว่างบนท้องฟ้า
“แค่ดูพลุต้องซึ้งขนาดนั้นเลย?”
“ตอนเด็ก ๆ พี่อุ่นจะพาอัยมานั่งกินขนมดูพลุด้วยกัน แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้อีกแล้ว” ริมฝีปากบางสั่นระริกหยดน้ำตาร่วงหล่นสะเทือนใจ เขมทัตมองอย่างเห็นใจนึกได้ว่าวันที่เธอถูกทางบ้านหลอกมาให้เขาซื้อ แม่ของเธอพูดชื่ออุ่นที่นอนป่วยเป็นภาระ
“อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่ให้ดูแล ไม่ได้จากไปไม่กลับมา” เสียงทุ้มอ่อนลงเข้าใจความรู้สึกเศร้าหมองของเธอ อัยยาหันมองเขาด้วยสายตาหลากหลายไม่คิดว่าเขาจะพูดดี ๆ แบบนี้เป็น เขมทัตหลบเลี่ยงมองบนท้องฟ้าแววตาหม่นเศร้าเธอยังโชคดีกว่าเขาที่ไม่มีโอกาสได้อยู่ดูแลใกล้ชิดกับพ่อแม่ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกตอนไปดูงานที่ต่างประเทศ ไม่ใช่แค่ไม่ได้ร่ำลากันแต่วันสุดท้ายที่เจอกันเขาร้องไห้งอแงจะตามพ่อแม่ไปต่างประเทศแต่เขาต้องสอบพ่อแม่เลยไม่ให้ไป เขางอนไม่คุยกับพ่อแม่ไม่ให้กอดแตะตัวนิดหน่อยก็ไม่ได้สุดท้ายแล้วหลังจากพ่อแม่ขึ้นเครื่องบินเดินไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเขาก็ได้รับข่าวร้ายที่ฝังใจมาถึงทุกวันนี้
การแสดงพลุสิ้นสุดลงหลงเหลือเพียงควันขาวบนท้องฟ้าดำมืด อัยยาเก็บถุงอาหารที่หมดแล้วเดินไปทิ้งยังถังขยะที่วางอยู่ริมสนามหญ้า มือเรียวโยนถุงพลาสติกใส่ถังขยะแล้วหันหลังกลับ อัยยานิ่งอึ้งเมื่อเจอเปรมอดีตแฟนเก่าที่เลิกรากันไปตอนครอบครัวเธอมีปัญหา เขมทัตลุกขึ้นปัดฝุ่นบนกางเกงหยิบกระเป๋าใบใหญ่มาสะพายและหยิบถุงคลุมชุดไทยมองไปทางอัยยาเห็นเธอยืนมองหน้าผู้ชายคนหนึ่งกำลังยิ้มกว้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่อัยยายืนนิ่งไม่พูดไม่จาไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม.....
เปรมโบกมือผ่านหน้าอัยยาที่ยังยืนอึนเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด
“ตัวฟังอยู่หรือเปล่า เค้าขอเบอร์โทรใหม่หน่อย”
“เราอย่าติดต่อกันอีกดีกว่า” เปลือกตาสวยกะพริบถี่ยังรู้สึกไม่ดีที่เจอกัน
“ขอโทษที่ทำให้ตัวเจ็บนะ ตั้งแต่เลิกกันเค้าไม่เคยมีความสุขเลย เค้ายังรักตัวเองมากนะ” เปรมหน้าสลดเหลือบมองน้อยใจ อัยยาอึกอักหนักใจไม่สะดวกใจคุย ด้านเขมทัตอารมณ์ขุ่นมัวรีบเดินตรงไปหาหวังแยกเธอกับชายหนุ่มคนนั้นแต่เขาเดินถึงช้ากว่าผู้หญิงวัยรุ่นอุ้มเด็กเล็กไว้ในอ้อมแขนแผดเสียงต่อว่าผู้ชายคนนั้น
“มัวแต่มาคุยกับเมียเก่าอยากรำลึกความหลังกับมันล่ะสิ!”
“แค่บังเอิญมาทิ้งขยะพร้อมกัน ไม่ได้มีอะไร” เปรมหันขวับไปอธิบายสีหน้าไม่สู้ดี
“แต่อีนี่มันไม่จบไง อีหน้าด้านอยากแย่งผัวคนอื่นจนตัวสั่นหัดมีสำนึกเห็นแก่เด็กตาดำ ๆ บ้าง!” ผู้หญิงวัยรุ่นจ้องอัยยาแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
“ตัวมีลูกแล้ว?” อัยยามองเด็กในอ้อมกอดของหญิงวัยรุ่นหน้าตาคล้ายกับเปรมไม่มีผิด
“ก็ใช่น่ะสิ หน้าเหมือนพ่อขนาดนี้ยังจะถามอีก” หญิงวัยรุ่นตวาดใส่เมียเก่าผัวตัวเองอย่างหมั่นไส้
“เราพึ่งเลิกกันไม่ถึงปีเลยนะ”
