บทที่ 3 วิญญาณร้าย
บทที่ 3 วิญญาณร้าย
หมู่บ้านต้นธูป
"ออกไป อย่ามาเหยียบที่นี่!!!"
ทิวากรขมวดคิ้วทั้งสองด้วยความไม่เข้าใจ หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านที่พบเห็นลูกจันทร์ก็ตะโกนด่าทอพร้อมทั้งขว้างปาสิ่งของใส่เธออย่างบ้าคลั่ง จนเขาต้องเอาตัวเองบังเพื่อไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บ
"ใจเย็น ๆ ก่อนครับ" หยกเอ่ยร้องห้ามชาวบ้านอย่างร้อนรน
"พวกคุณไม่รู้อะไร อีลูกจันทร์มันโดนผีสิงไปแล้วออกมาห่าง ๆ มัน"
หญิงชาวบ้านวัยกลางคนตะโกนร้องห้ามผู้ชายสามคน ที่กำลังยืนอยู่ข้างลูกจันทร์ เธออยู่ที่นี่มานานในวันที่ร่างทรงทักเรื่องผีร้ายกับลูกจันทร์ เธอก็อยู่ด้วยอีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ไอ้ชิดและไอ้ขามก็กลายเป็นคนบ้า เอาแต่ตะโกนว่าอีลูกจันทร์จะเอาชีวิตพวกมัน
หากปล่อยให้มันมาอยู่ที่นี่คงมีแต่คนตายนะสิ
"ผีสิง?? ที่พวกคุณไล่ผู้หญิงคนนี้ออกจากหมู่บ้านเพราะเรื่องผี?"
ทิวากรที่ยืนฟังมานานเอ่ยถามอย่างหัวเสีย เดิมทีเขาคิดว่าลูกจันทร์ทำความผิดร้ายแรงอะไรถึงโดนขับไล่ออกจากหมู่บ้าน พอได้รู้เหตุผลเขาก็รู้สึกโมโหทันที เพราะเดิมทีเขาเป็นพวกไม่มีความเชื่อในเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็น จึงคิดว่าพวกที่หลงเชื่อเป็นพวกหัวอ่อนที่งมงาย ไม่ก็พวกชอบหลอกตัวเอง
"ยายฉันเสียไปแล้ว ฉันไม่มีที่ไปแล้ว ขอฉันอยู่ที่นี่ด้วยเถอะนะ"
"ที่อีน้ำผึ้งมันตายเพราะโดนมึงกินไปสินะ นี่คงอยากเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเราเพราะจะกินคนในหมู่บ้านนะสิ"
"ไม่ใช่ฉันแค่..."
"อีผีร้ายมึงยังจะตอแหลอะไรอีก!!!"
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ชาวบ้านที่ตะโกนด่าทอขับไล่ลูกจันทร์เงียบสนิท ไม่นานหญิงชราถือไม้เท้าก็เดินออกมาจากด้านหลังของกลุ่มชาวบ้าน ดวงตาจ้องมองไปที่ผู้ชายทั้งสามและลูกจันทร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
"ย่าบัว นังจันทร์มันกลับมาแล้วจริง ๆ จ๊ะ"
ลูกจันทร์ที่เห็นหญิงชราตรงหน้าก็รับรู้ได้ทันทีว่าคือร่างทรง ตัวต้นเหตุที่ทำให้เจ้าของร่างและยายไปอยู่กลางป่าอย่างลำบาก เธอที่ยืนหลบด้านหลังทิวากรยกยิ้มมุมปาก สายตาจ้องมองหญิงชราอย่างไม่เกรงกลัว
ก็แค่ร่างทรงกระจอก คิดหรือจะกำราบกูได้...
"ย่าบัวทำยังไงดี ไอ้ชิดกับไอ้ขามก็เป็นบ้าไปแล้ว"
"มันแย่งร่างอีลูกจันทร์ไปแล้ว ทางเดียวที่จะกำราบมัน คือจับมันมาทำพิธีเผาทั้งเป็น"
ย่าบัวพูดออกมา แม้จะเรียกว่าพิธีเผาทั้งเป็นแต่ความจริงเป็นเพียงแค่ขับไล่วิญญาณร้ายให้เข้ามาในหม้อและทำพิธีเผาหม้อที่มีวิญญาณร้ายเท่านั้น
ทิวากรที่ได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจว่าชาวบ้านต้องการเผาลูกจันทร์ทั้งเป็น มือหนาคว้าจับข้อมือของหญิงสาวไว้แน่นเพราะรู้แล้วว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ แม้จะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นานแต่เขาก็ไม่มีทางส่งเธอไปให้ชาวบ้านบ้างมงายเผาทั้งเป็น
"พวกคุณส่งอีลูกจันทร์มา แล้วออกไปจากที่นี่ซะ"
"อย่าเข้ามา ไม่งั้นผมจะแจ้งความ ที่นี่บ้านเมืองมีกฎหมายพวกคนจะฆ่าคนง่าย ๆ อย่างนี้ได้ยังไง"
"อีลูกจันทร์มันตายไปแล้ว ที่อยู่ข้างพวกคุณมันเป็นผีร้าย พวกเราแค่จะไล่ผี"
"นั่นสิ พวกเราไม่มีทางให้อีผีร้ายเข้ามาในหมู่บ้านเด็ดขาด"
"นี่พวกคุณบ้าไปแล้วเหรอ ก็เห็นอยู่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือลูกจันทร์ เธอยังไม่ตายยังหายใจอยู่"
ย่าบัวมองลูกจันทร์ที่กำลังยกยิ้มมุมปากก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เดิมทีหญิงชรามั่นใจว่าตัวเองสามารถขับไล่ผีร้ายในร่างของลูกจันทร์ออกไปได้ แต่ตอนนี้เธอได้รับรู้โดยสัญชาตญาณว่าผีร้ายตรงหน้าแข็งแกร่งเกินไป
เธอไม่มีทางเอาชนะมันได้
"ฉะ..ฉันไม่ใช่ผีจริง ๆ นะ"
ลูกจันทร์จับชายเสื้อของทิวากรแสร้งตัวสั่นราวกับกำลังหวาดกลัว ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองผู้ชายทั้งสามน้ำตาคลอ ต้องการบอกว่าตอนนี้พวกเขาคือที่พึ่งพาเดียวของเธอ
"เอาไงดีวะ ถ้าปล่อยไว้ที่นี่..."
หยกพูดออกมาด้วยความกังวล พลางปรายตามองชาวบ้านที่กำลังจ้องมองมาที่พวกเขาอย่างไม่เป็นมิตร เพราะที่นี่คือหมู่บ้านในป่าลึกไร้ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ หากจะขอความช่วยเหลือจากตำรวจคงจะไม่ทันเวลา อีกอย่างถ้าพวกเขาทิ้งลูกจันทร์ไว้ก็คงถูกทำพิธีเผาทั้งเป็นแน่ ๆ
ไม่คิดเลยว่าชีวิตหมอหยกจะมาเจออะไรแบบนี้!!
"เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงบอกว่าไม่ควรมาที่นี่"
ธนาบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจคิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากัน เพราะมีเพียงเขาที่ออกความเห็นว่าไม่ควรมาเดินป่าที่นี่ มันทั้งไม่ปลอดภัยและไร้สัญญาณโทรศัพท์ หากเกิดเรื่องอันตรายขึ้นมามันยากที่จะได้รับความช่วยเหลือ
"อีผีร้าย ถ้ามึงไม่อยากโดนเผาก็กลับไปที่กระท่อมมึงซะ"
ย่าบัวตะโกนออกมาเพราะเธอรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองไม่อาจกำราบผีร้ายได้ คงมีเพียงขับไล่ออกไปให้ออกห่างจากหมู่บ้านจึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้จะไม่รู้ว่าผีร้ายตนนี้เป็นใครแต่หญิงชราก็สัมผัสได้ว่ามันอันตรายยิ่งกว่าผีทุกตัวที่เธอเคยเจอมา
"ลูกจันทร์ ในเมื่ออยู่ที่นี่ไม่ได้เธอกลับไปที่กระท่อมดีไหม"
ธนาออกความเห็นเพราะเขาเองก็อยากออกไปจากที่นี่แล้ว ความจริงพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ถ้ามีทางออกที่ดีกว่าเพื่อรักษาชีวิตของคนตรงหน้าก็ควรจะทำ
"ถ้าฉันกลับไป ชาวบ้านจะไม่ตามไปเผากระท่อมใช่ไหม"
ทิวากรในตอนแรกเห็นด้วยกับความคิดของธนา เพราะพวกเขาเป็นเพียงคนต่างถิ่นจึงสามารถช่วยเหลือได้แค่นี้ แต่เมื่อเห็นลูกจันทร์เอ่ยถามชาวบ้านด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็รู้สึกใจหายวูบ
"ถ้ารับปากว่าจะไม่ทำร้ายฉัน ฉันจะกลับไป"
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากคนในหมู่บ้าน เพราะเดิมทีพวกเขาก็คัดค้านในใจไม่อยากปล่อยให้ลูกจันทร์กลับไปอยู่ที่กระท่อม แม้จะอยู่ในป่าลึกแต่หากวันไหนผีร้ายมันเกิดหิวขึ้นมา จะแน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่แอบมากินคนในหมู่บ้าน
"ฉันไม่ใช่ผีร้ายจริง ๆ นะ"
ความเงียบปกคลุมทันที มีเพียงเสียงร้องไห้ของลูกจันทร์เท่านั้นที่ยังคงดังอยู่ ทิวากรเม้มปากแน่นในไม่รู้ว่าทำไมยามที่เขาเห็นน้ำตาของคนตรงหน้าถึงได้รู้สึกจุกอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก มันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและสงสารเหมือนกับว่าเขากำลังทำผิดกับเธอ
"ฉันเป็นคน...ไม่..ใช่..ผีร้าย..ฉันแค่อยากมีชีวิตรอด"
ไม่รู้ว่าเพราะความเห็นใจหรือเพราะความรู้สึกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นในใจ ทำให้ทิวากรดึงลูกจันทร์ที่กำลังร้องไห้ตรงหน้าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเขา มือหนายกขึ้นลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอนหายใจออกมาหลังจากตัดสินใจบางอย่างได้
"ลูกจันทร์ไปอยู่กับผมไหม"
"ไอ้ทิ/ไอ้ทิ!!"คำพูดและการกระทำของทิวากร ทำให้ธนาและหยกเพื่อนสนิทของเขาเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ พลางหันมองหน้ากันทันที
ทิวากรไม่ได้สนใจสายตาคัดค้านของเพื่อนสนิท เขาผละออกจากลูกจันทร์ใช้มือเช็ดน้ำตาบนแก้มให้เธอ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเพื่อให้คนที่ร้องไห้อยู่คลายกังวล
เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงตัดสินใจแบบนี้ ทั้งที่ปกติเขามักจะเมินเฉยไปด้วยซ้ำ
"ไปอยู่ด้วยได้จริง ๆ เหรอคะ"
"ครับ ลูกจันทร์อยากไปอยู่ด้วยกันไหมครับ"
"ค่ะ คุณทิพาจันทร์กลับไปด้วยนะคะ จันทร์ไม่อยากถูกเผาทั้งเป็นอยู่ที่นี่ จันทร์กลัว"
