บทที่ ๕ - 2
“เจ้าอยากหื้อข้าช่วย...แม่นก่อ?” (นายอยากให้ฉันช่วย...ใช่ไหม?) เขาถามเสียงกดต่ำ
เหนือเมฆที่กำลังจมอยู่ในภวังค์แห่งความสิ้นหวังสะดุ้งเล็กน้อย เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมกริบคู่นั้นอย่างไม่เข้าใจ ในแววตาของเขาสะท้อนแต่ความสับสนและความหวาดกลัว แต่สัญชาตญาณดิบของการเอาชีวิตรอดทำให้เขาพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ครับ...ช่วยผมด้วย” เสียงของเขาแหบพร่าและสั่นเทา
“ดี” สิงห์คำยืดตัวกลับขึ้นไปยืนตรงดังเดิม กอดอกมองลงมาด้วยท่าทีของผู้กุมชะตา
“ถ้าจะหื้อข้าช่วย...มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” ความหวังที่เพิ่งจุดประกายขึ้นมาทำให้เหนือเมฆรีบโพล่งออกไป
“ผมยอมทุกอย่าง คุณจะเอาอะไรผมให้ได้หมด” เขากอดกระเป๋ากล้องไว้แน่นราวกับเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายในชีวิต
“แต่ขออย่างเดียว อย่าเอากล้องตัวนี้ไป กล้องตัวนี้ผมเก็บเงินซื้อเอง”
“ข้าบ่าได้ต้องการเงินทองและกล้องของเจ้า” สิงห์คำพูดสวนขึ้นมาทันที “แต่ข้าต้องการ...ชีวิตของเจ้า” เหนือเมฆหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที
“มะ..มะ..หมายความว่ายังไงครับ?”
“หมายความว่า...นับแต่วินาทีนี้ไปจนกว่าเรื่องจะจบ...ชีวิตของเจ้าเป๋นของข้า ทุกคำตี้ข้าสั่ง...เจ้าต้องยะตามโดยบ่ามีข้อแม้”
(หมายความว่า...นับแต่วินาทีนี้ไปจนกว่าเรื่องจะจบ...ชีวิตของเธอเป็นของฉัน ทุกคำที่ฉันสั่ง...เธอต้องทำตามโดยไม่มีข้อแม้)
สิงห์คำไม่ได้ละสายตาไปไหน ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นตรึงร่างของเหนือเมฆไว้กับที่...ราวกับพญาเหยี่ยวที่สะกดหนูตัวเล็กๆ ด้วยสายตา โลกทั้งใบหดแคบลงเหลือเพียงนัยน์ตาคมกริบคู่นั้น...มันดึงสติ...ดูดกลืนเจตจำนงในการต่อต้าน...และบีบบังคับให้เขายอมรับในชะตากรรมที่กำลังจะถูกหยิบยื่นให้แต่โดยดี
“ข้อที่หนึ่ง...เชื่อฟัง ข้าสั่งอะหยัง ต้องยะอันนั้น ห้ามถาม ห้ามเถียง ห้ามสงสัย”
“ข้อที่สอง...ห้ามไปไหน เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ในคุ้มสิงห์คำ ห้ามก้าวขาออกไปตางนอกแม้แต่ก้าวเดียวถ้าข้าบ่าอนุญาต เพราะทันทีตี้เจ้าออกไป...ข้าจะบ่ารับผิดชอบชีวิตเจ้าแหม”
“ข้อที่สาม...ร่วมมือ ทุกพิธีกรรมตี้จะเกิดขึ้น เจ้าต้องมีส่วนร่วมและทำตามคำสั่งของข้าทุกอย่าง”
เขาหยุดเว้นช่วง ก่อนจะกล่าวประโยคสุดท้ายที่หนักแน่นที่สุด
“ยะได้ก่อ? ถ้ายะบ่าได้...ก่อลุกขึ้นแล้วปิ๊กไปตางเก่าได้เลย”
(ทำได้ไหม? ถ้าทำไม่ได้...ก็ลุกขึ้นแล้วกลับไปทางเก่าได้เลย)
มันคือทางเลือกสุดท้ายที่ถูกยื่นมาให้ เหนือเมฆไม่มีเวลาให้คิด เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขากำลังจะตาย และชายตรงหน้าคือคนเดียวที่บอกว่าจะช่วยเขาได้ แม้เงื่อนไขนั้นจะหมายถึงการต้องสละอิสรภาพและตัวตนทั้งหมดก็ตาม
“...ได้ครับ” เขาตอบเสียงแผ่วเบา
“ผมยอม...ผมยอมทุกอย่าง”
“ดี” สิงห์คำพยักหน้าอย่างพอใจ เขาหันไปทางเอื้องผึ้ง
“เอื้องผึ้ง ไปเอาน้ำสะอาดมาขันหนึ่ง กับบะนาวหน่วย บะขมิ้นซีก” (เอื้องผึ้ง ไปเอาน้ำสะอาดมาขันหนึ่ง กับมะนาวลูก ขมิ้นซีก)
เอื้องผึ้งรีบพยักหน้ารับแล้ววิ่งหายเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว
สิงห์คำสั่งให้เหนือเมฆนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นไม้สักที่เย็นเฉียบตรงหน้าเขา กลิ่นไม้เก่าที่อบอวลอยู่ในอากาศผสมกับกลิ่นกำยานจางๆ สร้างบรรยากาศที่ทั้งสงบและน่าเกรงขาม จากนั้นเขาก็นั่งลงในท่าเดียวกัน
วินาทีนั้นเอง...อากาศรอบตัวก็พลันนิ่งสนิทราวกับถูกหยุดเวลา แผ่นหลังของสิงห์คำเหยียดตรงขึ้น ดวงตาที่เคยคมกริบกลับทอดมองผ่านร่างของเหนือเมฆไปยังบางสิ่งที่อยู่หน้าประตูคุ้ม ความเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งได้จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยรัศมีแห่งอำนาจอันเก่าแก่ของ ‘พ่อครู’ ผู้ทรงอาคมอย่างสมบูรณ์
ไม่นานเอื้องผึ้งก็นำของที่สั่งมาให้ สิงห์คำรับขันน้ำเงินที่เย็นจัดมาถือไว้ในมือ เขาเริ่มสวดคาถา...มันไม่ใช่เสียงพูด แต่เป็นเสียงทุ้มต่ำที่สั่นสะเทือนอยู่ในลำคอ ถ้อยคำภาษาบาลีโบราณแต่ละคำฟังดูหนักแน่นและคมกริบ เขาบีบมะนาวลงไปในขัน...กลิ่นเปรี้ยวสดชื่นของมันลอยขึ้นมาปะทะจมูก ก่อนที่เขาจะใช้ขมิ้นฝนกับปากขันจนน้ำในขันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ราวกับแสงจันทร์ พร้อมกับกลิ่นดินจางๆ ของขมิ้น
