บทย่อ
‘เหนือเมฆ’ ช่างภาพหนุ่มฟรีแลนซ์จากกรุงเทพฯ ผู้หลงใหลในความงามของสถาปัตยกรรมเก่า ตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้าน ‘เวียงสิงห์แก้ว’ ที่เชียงใหม่ เพื่อถ่ายภาพ ‘เรือนคำจันทร์’ เรือนไม้สักโบราณที่ถูกทิ้งร้างและร่ำลือว่ามีผีดุ แต่การล่วงล้ำโดยไม่รู้ขนบของเขา ได้ปลุกอาถรรพ์ร้ายที่หลับใหลให้ตื่นขึ้น และผูกมัดดวงชะตาของเขาไว้กับวิญญาณอาฆาต ความตายที่คืบคลานเข้ามาทุกขณะ ทำให้เขาต้องยอมละทิ้งความเชื่อแบบคนเมืองกรุงและหันไปพึ่งพา ‘พ่อครูน้อยสิงห์คำ’ หรือ ‘สิงห์’ ฆราวาสหนุ่มผู้สืบทอดวิชาอาคมสายพุทธคุณล้านนา สิงห์เป็นชายหนุ่มเคร่งขรึม พูดน้อย และดูเหมือนจะไม่ต้อนรับคนนอกอย่างเขา จากความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยความไม่ไว้วางใจ กลายเป็นความผูกพันที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เมื่อสิงห์ค้นพบว่าอาถรรพ์ที่เหนือเมฆต้องเผชิญนั้น ไม่ใช่แค่การลบหลู่เจ้าที่เจ้าทางธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘มนต์ดำ’ ที่ใครบางคนจงใจสร้างขึ้น โดยมีชีวิตของเหนือเมฆเป็น ‘เครื่องสังเวย’ และมีตระกูลของสิงห์เป็นเป้าหมายสุดท้าย ท่ามกลางอันตรายจากคุณไสยและเงาอดีตที่ตามหลอกหลอน ความรักได้ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆระหว่างผู้สืบทอดอาคมกับชายหนุ่มผู้ถูกสาป การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจึงไม่ใช่แค่การรักษาชีวิต แต่คือการปกป้องคนข้างกาให้พ้นจากเงื้อมมือของมนต์ดำที่มองไม่เห็น
บทที่ ๑ - 1
เสียงคลิกแผ่วเบาของแทร็กแพดดังขึ้นเป็นจังหวะ ขณะที่ปลายนิ้วของ เหนือเมฆ ลากผ่านภาพถ่ายหลายสิบรูปบนหน้าจอแมคบุ๊กโปร แสงสีซีเปียของวัดร้างที่เขาเพิ่งไปถ่ายมาสะท้อนอยู่ในแว่นตาทรงคลาสสิกของเขา เส้นสายของสถาปัตยกรรมนั้นงดงาม...แต่ยังขาดอะไรไปบางอย่าง...บางสิ่งที่ทรงพลังพอจะเป็นภาพเอกของคอลเลคชันนี้
เขาละสายตาจากหน้าจอ ยกแก้วอเมริกาโน่เย็นที่พร่องไปกว่าครึ่งขึ้นจิบ ความขมเข้มของกาแฟคั่วบดชั้นดีช่วยเรียกความสดชื่นกลับคืนมาได้บ้าง กลิ่นหอมกรุ่นของมันเจือปนอยู่กับกลิ่นขนมอบเนยสดและกลิ่นอับจางๆ ของไม้เก่าในร้าน ‘ฮิมฮ่มคาเฟ่’ ผสานกับเสียงสะล้อซอซึงที่เปิดคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศที่น่าหลงใหลจนเขาเลือกใช้ที่นี่เป็นออฟฟิศชั่วคราวตลอดสามวันที่ผ่านมาใน ‘หมู่บ้านเวียงสิงห์แก้ว’
“กาแฟลำก่อเจ้า อ้ายเหนือ?” (กาแฟอร่อยไหมคะ พี่เหนือ?)
เสียงใสๆ ของ เอื้องผึ้ง เจ้าของร้านร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายพื้นเมือง ดึงเขาออกจากภวังค์ เธอวางจานขนมปังสังขยาใบเตยที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นลงบนโต๊ะไม้ข้างๆ คอมพิวเตอร์ของเขา รอยยิ้มของเธอนั้นสดใสเหมือนดอกไม้ที่เพิ่งรับน้ำค้างยามเช้า
“ลำขนาดครับ” เหนือเมฆยิ้มตอบ พยายามใช้ภาษาเหนือสำเนียงแปร่งๆ ที่ฝึกมาจากโลกออนไลน์
“กาแฟร้านนี้คงดีที่สุดในเวียงสิงห์แก้วแล้ว”
“แหม...อ้ายก่อมายอน้องไปเรื่อย” (แหม...พี่ก็ยอน้องไปเรื่อย)
เอื้องผึ้งหัวเราะคิกคัก นัยน์ตาเป็นประกาย
“ในบ้านเฮามันมีกี่ร้านกั๋นเชียว ว่าแต่...วันนี้อ้ายจะไปถ่ายฮูปตี้ไหนเจ้า?”
(ในหมู่บ้านเรามันมีกี่ร้านกันเชียว ว่าแต่...วันนี้พี่จะไปถ่ายรูปที่ไหนคะ?)
คำถามนั้นดึงความคิดของเขากลับมาสู่ปัญหาเดิม เหนือเมฆเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หวาย ถอนหายใจเบาๆ
“ยังไม่แน่ใจเลยครับ ผมถ่ายวัดกับบ้านเก่าในหมู่บ้านจนเกือบจะครบแล้ว แต่ยังไม่ได้ภาพที่...พิเศษจริงๆ สักที” เขามองหน้าหญิงสาวอย่างมีความหวัง
“ที่นี่พอจะมีบ้านร้างสวยๆ ที่ไม่มีใครเข้าไปยุ่งบ้างไหมครับ? ยิ่งเก่า ยิ่งโทรม ยิ่งมีเรื่องราวน่าจะยิ่งดี”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเอื้องผึ้งพลันจางหายไปในทันที...เหมือนมีเมฆลอยมาบดบังดวงอาทิตย์ หญิงสาวเม้มปากแน่น แววตาสดใสเมื่อครู่ฉายความลังเลอย่างเห็นได้ชัด เธอขยับตัวเข้ามาใกล้ ลดเสียงลงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ
“บ้านฮ้าง...มันก่อมีอยู่หลังหนึ่งเจ้า” น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “ใหญ่ขนาด...เป๋นเฮือนไม้สักโบราณทั้งหลังเลย เปิ้นฮ้องว่า...‘เรือนคำจันทร์’”
(บ้านร้าง...มันก็มีอยู่หลังหนึ่งค่ะ ใหญ่มาก...เป็นเรือนไม้สักโบราณทั้งหลังเลย เขาเรียกว่า ‘เรือนคำจันทร์’)
แค่เพียงได้ยินชื่อ...สัญชาตญาณของช่างภาพในตัวเหนือเมฆก็ลุกโชนขึ้นมาทันที
“เรือนคำจันทร์? แค่ชื่อก็ฟังดูขลังแล้ว อยู่ตรงไหนเหรอครับ?”
“อ้ายอย่าไปเลย” เอื้องผึ้งส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว มือเล็กๆ ของเธอยกขึ้นมาทำท่าห้าม
“ตี้ฮั่น...มันบ่าดี”
(พี่อย่าไปเลย...ที่นั่น...มันไม่ดี)
“ไม่ดี?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“หมายถึงมันผุพังเหรอครับ? ไม่เป็นไร ผมชอบแบบนั้น ยิ่งดูเก่า ยิ่งดูขลัง ยิ่งสวย”
“บ่าใจ้เจ้า!” เธอสวนกลับเสียงสั่น
“ตี้ว่าบ่าดี...คือเปิ้นว่ามันมีผี! ผีแม่นายคำจันทร์ เจ้าของบ้านเก่าน่ะเจ้า...เปิ้นผูกคอตายบนขื่อบ้านเมื่อหลายสิบปีก่อน ว่ากันว่าวิญญาณยังวนเวียนอยู่ที่นั่น...ดุขนาดเน้อ! คนบ้านเฮาบ่มีไผกล้ำกรายเข้าไปเลยแม้แต่ก้าวเดียว!”
(ไม่ใช่ค่ะ...ที่ว่าไม่ดี...คือเขาว่ามันมีผี ผีแม่นายคำเที่ยง เจ้าของบ้านเก่าน่ะค่ะ ท่านผูกคอตายบนขื่อบ้านเมื่อหลายสิบปีก่อน ว่ากันว่าวิญญาณยังวนเวียนอยู่ที่นั่น...ดุมากนะ คนแถวนี้ไม่มีใครกล้ำกรายเข้าไปเลย)
เรื่องเล่าขานที่ควรจะทำให้ขนหัวลุก กลับยิ่งสาดน้ำมันลงบนกองไฟแห่งความปรารถนาของเหนือเมฆให้โหมกระพือ เรือนไม้สักโบราณ...โศกนาฏกรรม...และคำสาป...องค์ประกอบทุกอย่างสมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว
“โหย...มีสตอรี่ด้วย” เขาหัวเราะในลำคอ พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจในความหวาดกลัวของหญิงสาว
“อ้ายเหนือ!” เอื้องผึ้งขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ แววตาของเธอฉายแววตำหนิอย่างจริงจัง
“มันบ่าใจ้เรื่องเล่นๆ เน้อเจ้า! ตี้ตางนั้นมันของแรงขนาด ไปลบหลู่บ่าได้!”
(มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะคะ! ที่ตรงนั้นมันของแรงมาก ไปลบหลู่ไม่ได้)
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับเอื้องผึ้ง ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอก ผมแค่อยากไปบันทึกความงามของมันไว้ด้วยความเคารพ...วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์เรื่องผีไม่ได้สักหน่อย”
เอื้องผึ้งก็ถอนหายใจยาวอย่างจนปัญญา เธอมองหน้าเขาด้วยแววตาที่ทั้งเป็นห่วงและสงสาร ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังที่สุด
“ถ้าจะอั้น...น้องขอเตือนอ้ายไว้คำหนึ่ง” (ถ้างั้น...น้องขอเตือนพี่ไว้คำหนึ่ง) เธอกล่าว
“ถ้าเกิด...ถ้าเกิดว่าอ้ายไปเจออะหยังบ่าดีเข้าแต๊ๆ...ถ้ามันติดตามอ้ายออกมา...” (ถ้าเกิด...ถ้าเกิดว่าพี่ไปเจออะไรไม่ดีเข้าจริงๆ...ถ้ามันติดตามพี่ออกมา...)
เธอหยุดไปนิดหนึ่ง ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่
“...มีตี้เดียวตี้จะช่วยอ้ายได้...คือบ้านพ่อครูน้อยสิงห์คำ เปิ้นเป็นผู้สืบทอดวิชา...เป็นคนเดียวในบ้านเฮาตี้จะสู้กับของจะอี้ได้” (...มีที่เดียวที่จะช่วยพี่ได้...คือบ้านพ่อครูน้อยสิงห์คำ ท่านเป็นผู้สืบทอดวิชา...เป็นคนเดียวในหมู่บ้านเราที่จะสู้กับของแบบนี้ได้)
เหนือเมฆได้แต่ยิ้มรับอย่างไม่ใส่ใจนัก เขายังคงมองว่ามันเป็นเพียงความเชื่องมงายของชาวบ้าน แต่ก็พยักหน้ารับคำไปอย่างนั้นเพื่อให้หญิงสาวสบายใจ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เรือนคำจันทร์...โดยไม่รู้เลยว่าคำเตือนสุดท้ายของเธอ...กำลังจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของเขา

