บทที่ ๔ - 1
ราตรีแห่งเวียงสิงห์แก้วที่เคยสงบสุข บัดนี้กลับถูกฉีกกระชากด้วยเสียงคำรามของเครื่องยนต์ รถกระบะสี่ประตูวิ่งฝ่าความมืดไปบนถนนสายเล็กๆ อย่างบ้าคลั่ง
เหนือเมฆเหยียบคันเร่งจนแทบมิด เท้าขวาของเขาสั่นไม่หยุด ไฟหน้ารถสาดส่องไปเบื้องหน้า เผยให้เห็นเพียงเงาตะคุ่มของต้นไม้ที่บิดเบี้ยวราวกับอสูรกาย แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ใช่ความว่างเปล่า เขารู้สึกเหมือนมีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองมาจากเงามืดรอบตัว และที่น่าสะพรึงที่สุด...คือกลิ่นมะลิเน่าๆ ที่เคยได้กลิ่นในเรือนร้าง บัดนี้กลับติดอยู่ที่ปลายจมูกของเขาไม่จางหาย ราวกับเจ้าของกลิ่นได้นั่งร่วมทางมาด้วยในรถคันนี้
สมองของเขาว่างเปล่า มีเพียงเป้าหมายเดียวที่ฉายชัด...ต้องไปหาเอื้องผึ้ง เธอคือคนเดียวที่รู้ว่าบ้านของ ‘พ่อครูน้อยสิงห์คำ’ อยู่ที่ไหน
เอี๊ยดดด!
เขาจอดรถที่หน้าบ้านของหญิงสาวอย่างแรงจนเสียงยางบดกับพื้นดินดังสนั่น ชายหนุ่มกระโจนลงจากรถโดยไม่ดับเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ เขาวิ่งไปทุบประตูไม้ของร้านอย่างบ้าคลั่ง
“เอื้องผึ้ง! เอื้องผึ้ง! เปิดประตูหน่อยครับ! ผมเอง เหนือ!”
เสียงของเขาสั่นเครือและแหบแห้ง ไม่นานนัก ไฟในร้านก็สว่างขึ้น ตามมาด้วยเสียงปลดสลักประตู เอื้องผึ้งในชุดนอนผ้าฝ้ายโผล่ออกมาด้วยใบหน้าที่ยังงัวเงีย แต่เมื่อเห็นสภาพของเหนือเมฆ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ ไม่เหลือเค้าของช่างภาพหนุ่มมาดมั่นจากเมืองกรุงอีกต่อไป ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ใบหน้าซีดเผือด และที่สำคัญที่สุด...คือแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีดราวกับเพิ่งหนีตายมาจากขุมนรก
“อ้ายเหนือ! เป๋นอะหยังไปเจ้า!?”
“พาผมไป...พาผมไปบ้านพ่อครู...เดี๋ยวนี้!” เขาพูดไม่เป็นประโยค คว้าแขนของหญิงสาวไว้แน่น “ได้โปรดเถอะครับเอื้องผึ้ง...ผมไม่ไหวแล้ว...มันตามผมมา!”
แววตาของเอื้องผึ้งฉายแววไม่เชื่อในตอนแรก แต่แล้วสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นรอยจ้ำสีแดงคล้ำที่ต้นแขนของเขาซึ่งโผล่พ้นแขนเสื้อออกมา...หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ความงัวเงียทั้งหมดมลายหายไป เหลือเพียงความตระหนักว่าคำเตือนของเธอได้กลายเป็นจริงแล้ว
“ขึ้นรถเลยเจ้า...น้องจะปาไป” (ขึ้นรถเลยค่ะ...น้องจะพาไป) เธอบอกเสียงหนักแน่น ไม่ซักไซ้ถามอะไรอีก
รถกระบะเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่มืดและเปลี่ยวกว่าเดิม มันมุ่งหน้าออกจากใจกลางหมู่บ้านไปยังบริเวณเชิงเขา เอื้องผึ้งนั่งเงียบอยู่ข้างๆ ปล่อยให้เหนือเมฆได้ต่อสู้กับความหวาดกลัวของตัวเอง
ไม่นานนัก รถก็เลี้ยวเข้าสู่ทางดินที่ขนาบข้างด้วยกำแพงดินโบราณสูงท่วมศีรษะ ที่ปลายทางนั้นคือประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แกะสลักเป็นลวดลายพญานาคขมวดเกลียว เหนือประตูมีแผ่นไม้เก่าแก่สลักอักษรล้านนาโบราณไว้ว่า ‘คุ้มสิงห์คำ’
ที่นี่เอง...ที่พำนักของผู้กุมความหวังสุดท้ายของเขา
เอื้องผึ้งลงจากรถไปเคาะที่บานประตู ไม่นานนักประตูก็แง้มเปิดออกโดยชายชราคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นเอื้องผึ้ง เขาก็เปิดประตูให้กว้างขึ้น
ทันทีที่เหนือเมฆก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้าไป...เขาก็รู้สึกถึงมัน...ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันราวกับเดินทะลุกำแพงมิติ ไอเย็นยะเยือกที่เกาะกินเขามาตลอดทางพลันสลายหายไปราวกับถูกตัดขาดด้วยมีดที่มองไม่เห็น อากาศภายในคุ้มนั้นเย็นสบายและบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมสะอาดของกำยาน, ว่านยา และเปลือกไม้แห้งลอยอวลอยู่อย่างจางๆ...เป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วโมงที่เขาสามารถหายใจได้เต็มปอด
ภายในบริเวณคุ้มนั้นกว้างขวางและดูศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาด มีเรือนไม้สักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเรือนหลังเล็กๆ และสวนสมุนไพรที่จัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ทุกอย่างดูเก่าแก่แต่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี...แผ่พลังอำนาจที่สงบนิ่งและน่าเกรงขามออกมา
“รออยู่ตี้เติ๋นนี้ก่อนเน้อเจ้า...เดี๋ยวน้องจะไปบอกพ่อครูน้อยหื้อ” (รออยู่ที่ระเบียงตรงนี้ก่อนนะคะ...เดี๋ยวน้องจะไปบอกพ่อครูน้อยให้) เอื้องผึ้งบอก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในเงามืดของตัวเรือนใหญ่
เหนือเมฆทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งไม้ยาว เขายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ความรู้สึกปลอดภัยที่เพิ่งได้รับทำให้กำแพงความกลัวที่เขาสร้างไว้พังทลายลง เขากำลังจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
และในตอนนั้นเอง...ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ประตูเรือนใหญ่
เขาไม่ใช่ชายชราผมขาวอย่างที่เหนือเมฆจินตนาการไว้ แต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในวัยยี่สิบปลายๆ ผิวสีทองแดงจากการกรำแดด ผมยาวประบ่าถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่าย เขาสวมเพียงเสื้อม่อฮ่อมสีครามเข้มกับเตี่ยวสะดอแบบโบราณ เผยให้เห็นท่อนแขนและช่วงขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อจากการทำงานหนัก
แต่สิ่งที่ทำให้เหนือเมฆแทบหยุดหายใจ ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูงดงามคมคายราวกับรูปสลัก...แต่เป็นดวงตาของเขา
ดวงตาคู่นั้นคมกริบและดำสนิทราวกับห้วงรัตติกาล มันนิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่สามารถมองทะลุทะลวงเข้ามาถึงจิตใจที่กำลังแตกสลายของเขาได้
