บทที่ ๓ - 2
เขากลับไปยืนอยู่ที่เรือนคำจันทร์อีกครั้งในยามค่ำคืน แสงจันทร์สีนวลสาดส่องลงมาอาบไล้ตัวเรือนไม้สักจนกลายเป็นสีเงินยวง บรรยากาศงดงามและวังเวงอย่างน่าประหลาด ภายในเรือนสะอาดสะอ้าน มีแสงตะเกียงจุดสว่างไสวไปทั่วทุกมุม ราวกับยังมีคนอาศัยอยู่ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงซอ...เป็นท่วงทำนองที่เศร้าสร้อยและไพเราะจับใจลอยมาจากชั้นบน
ขาทั้งสองข้างก้าวพาเขาขึ้นบันไดไปเอง มันนำเขาไปยังห้องนอนห้องเดิม ที่กลางห้อง ใต้แสงจันทร์ มีร่างของสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ผ้าซิ่นตีนจกงดงามนั่งบรรเลงซออยู่บนเตียงสี่เสา เธอค่อยๆ หยุดบรรเลงแล้วหันกลับมามอง...ใบหน้าของเธองดงามราวกับภาพวาด ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าสร้อย เธอคือผู้หญิงคนเดียวกับที่เขาเห็นในเงาสะท้อน...แต่บัดนี้ไม่มีรอยยิ้มอันน่าสะพรึงกลัวอีกแล้ว
“ในที่สุด...เจ้าก่มาหาข้าเจ้า” (ในที่สุด...ท่านก็มาหาข้า) น้ำเสียงของเธอกังวานใส แต่แฝงไปด้วยความเศร้าลึกซึ้ง
“คุณ...เป็นใคร?” เหนือเมฆถามออกไปเสียงสั่น
“ข้าเจ้าเป๋นคนตี้รอคอย...อยู่ตี้หนี้” (ข้าคือผู้ที่รอคอย...ณ ที่แห่งนี้) เธอกล่าวพลางก้าวเข้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้า
“เจ้าเอาของของข้าเจ้ามาตวย...ต้องฮักษามันดีๆ เน้อ” (ท่านนำของของข้ามาด้วย...ต้องดูแลรักษามันให้ดีนะ)
“ของของคุณ? ผมไม่ได้เอาอะไรมานะ!”
หญิงสาวไม่ตอบ แต่เธอยื่นมือที่ขาวซีดราวกับกระดาษออกมา หมายจะสัมผัสที่แขนของเขา
ทันใดนั้น! ใบหน้าที่เคยงดงามของเธอก็พลันบิดเบี้ยว ดวงตาเบิกกว้างจนกลวงโบ๋ ริมฝีปากฉีกออกจนถึงใบหู เผยให้เห็นไรฟันสีดำสนิท!
“สูเจ้าอย่าได้คิดจะหนีข้าไปไหน!!!” (พวกเจ้าอย่าได้คิดจะหนีข้าไปไหน!!!) เสียงของเธอเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องที่แหบโพร่งและเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
สัมผัสนั้นราวกับเหล็กร้อนแดงที่ถูกแช่แข็ง...มันทั้งเผาไหม้และเย็นยะเยือกในเวลาเดียวกัน ปลายนิ้วทั้งห้าจิกลึกลงบนแขนของเขาด้วยแรงบีบที่ราวกับจะหักกระดูก เหนือเมฆรู้สึกได้ว่าความร้อนจากร่างกายของเขากำลังถูกสูบออกไปอย่างรวดเร็ว ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่เย็นจัดจนชาหนึบ มันแล่นลึกเข้าไป...ลึกกว่าชั้นผิว...ลึกกว่ากล้ามเนื้อ...ลึกลงไปจนถึงแก่นกระดูกของเขา
“อ๊ากกกกกก!!!”
เหนือเมฆสะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้องที่จมอยู่ในลำคอ เขาลืมตา...แต่ภาพสุดท้ายที่เห็นในฝันยังคงซ้อนทับอยู่กับความมืดในห้อง เสียงกรีดร้องของมันยังคงก้องอยู่ในหัวราวกับเกิดขึ้นจริงเมื่อครู่
เหงื่อเย็นๆ ทำให้เสื้อยืดแนบติดไปกับแผ่นหลัง เขากอดตัวเองไว้ใต้ผ้าห่มที่ชื้นเหงื่อ พยายามใช้ความคุ้นเคยของห้องพักเป็นสมอคอยยึดเหนี่ยวสติ
‘แค่ฝัน...มันก็แค่ฝันร้าย’ เขาท่องซ้ำๆ ในใจราวกับบทสวดมนต์ ดวงตาพยายามกวาดมองไปรอบห้องเพื่อยืนยันว่าทุกอย่างยังคงปกติ...โคมไฟ...เก้าอี้...กระเป๋ากล้อง...ทุกอย่างคือความจริง
แต่แล้ว...ความเจ็บแปลบที่ต้นแขนข้างขวาก็กรีดร้องสวนขึ้นมา มันไม่ใช่ความเจ็บปวดในจินตนาการ แต่เป็นความรู้สึกแสบร้อนที่เต้นตุบๆ ตามจังหวะของชีพจร...เป็นความเจ็บปวดที่มีอยู่จริง...ตรงตำแหน่งเดียวกับที่ถูกฝ่ามือเย็นเยียบนั้นคว้าจับไว้
เขากลัว...กลัวที่จะมอง...กลัวที่จะได้เห็นในสิ่งที่สัญชาตญาณของเขารู้อยู่แล้ว
มือข้างซ้ายที่สั่นเทาค่อยๆ เลิกแขนเสื้อยืดที่เปียกชื้นขึ้น...ช้าๆ...ราวกับกำลังเปิดดูบาดแผลฉกรรจ์...เผยให้เห็นผิวขาวที่บอบช้ำ
มันไม่ใช่แค่รอยจ้ำ...
แต่คือรอยประทับของฝ่ามือ...ชัดเจนจนน่าสยดสยอง
นิ้วทั้งห้าเรียวยาวกดลึกลงบนผิวของเขาจนเป็นรอยบุ๋มสีแดงคล้ำอมม่วง ขอบของรอยนั้นคมชัดราวกับถูกประทับด้วยตราเหล็กร้อน...รอยเดียวกับที่เขาเพิ่งสัมผัสในขุมนรกเมื่อครู่นี้
ความร้อนทั้งหมดหายไปจากร่างกาย...เสียงหัวใจที่เคยดังกระหน่ำพลันเงียบงัน...ลมหายใจของเขาขาดห้วง...
มันไม่ใช่ความฝัน...
มันคือความจริงที่ถูกประทับตราไว้บนร่างกายของเขา
ความกลัวจับขั้วหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องเล่าหรือตำนานอีกต่อไปแล้ว เขาถูก ‘บางสิ่ง’ จากเรือนคำจันทร์ติดตามมา...และมันเริ่มทำร้ายร่างกายเขาได้แล้ว
ในความมืดมิดและสิ้นหวังนั้น คำพูดของเอื้องผึ้งก็แว่วขึ้นมาในหัว...
‘...มีตี้เดียวตี้จะช่วยอ้ายได้...คือบ้านพ่อครูน้อยสิงห์คำ’
พ่อครูน้อยสิงห์คำ...
ชายที่เขาเคยปรามาสในใจว่าเป็นพวกงมงาย...บัดนี้ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาต้องคว้าไว้ เหนือเมฆลุกพรวดขึ้นจากเตียง คว้ากุญแจรถและโทรศัพท์มือถือ ตัดสินใจในวินาทีนั้น...เขาต้องไปหาผู้ชายคนนั้น...ต้องไปเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม...
