บทที่ ๓ - 1
โลกทั้งใบของเหนือเมฆหดแคบลงเหลือเพียงภาพสี่เหลี่ยมขนาดไม่กี่นิ้วบนหน้าจอ LCD ของกล้องถ่ายรูป นิ้วของเขากดปุ่มซูมเข้าออกซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับคนเสียสติ แต่ไม่ว่าจะพยายามเพ่งมองกี่ครั้ง ภาพที่ปรากฏก็ยังคงเหมือนเดิม...ชัดเจนจนอยากจะควักลูกตาตัวเองทิ้ง
ในดวงตาสีดำสนิทของตุ๊กตาไม้...มีเงาสะท้อนของเขาและ... ‘ใครอีกคน’
เป็นเงาเลือนรางของสตรีในชุดโบราณที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของเขา ใบหน้าขาวซีดนั้นเงยขึ้นเล็กน้อยราวกับรับรู้ถึงการมีอยู่ของเลนส์กล้อง และที่น่าสยดสยองที่สุดคือริมฝีปากสีแดงคล้ำที่กำลัง...ฉีกยิ้ม รอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงถึงความยินดี แต่เป็นรอยยิ้มของผู้ล่าที่ได้พบเหยื่อ
“บ้า...บ้าไปแล้ว...” เขาสบถออกมาเสียงสั่น มือเย็นเฉียบจนแทบจะถือกล้องไว้ไม่ไหว ‘มันต้องเป็นแค่แสงสะท้อน...หรือรอยเปื้อนบนกระจก...ใช่...ต้องใช่แน่ๆ’ เขาพยายามหาเหตุผลนับร้อยแปดมาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา แต่สัญชาตญาณที่กรีดร้องอยู่ภายในบอกเขาว่านี่คือของจริง มันคือหลักฐานที่จับต้องได้ว่าเขาไม่ได้ตาฝาดไปเองในเรือนร้างหลังนั้น
นิ้วโป้งของเขาสั่นระริกขณะเลื่อนไปกดปุ่ม ‘ลบ’ ภาพนี้ต้องถูกลบออกไป ความทรงจำอันน่าขยะแขยงนี้ต้องหายไปจากกล้องของเขาเดี๋ยวนี้
‘ยืนยันการลบภาพ?’
เขาไม่ลังเลที่จะกดปุ่ม ‘ตกลง’
แต่แล้ว...หน้าจอของกล้องก็กระพริบวาบหนึ่งครั้ง ก่อนจะขึ้นข้อความที่ทำให้เลือดในกายของเขาเย็นเฉียบ
‘เกิดข้อผิดพลาด ไม่สามารถลบไฟล์ได้’
“อะไรวะ?” เหนือเมฆขมวดคิ้ว เขาออกจากเมนู แล้วลองเข้าไปลบอีกครั้ง...และอีกครั้ง ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม เขาสามารถลบภาพอื่นก่อนหน้านี้ได้ตามปกติ แต่กับภาพตุ๊กตาไม้ภาพนี้...กล้องกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง ราวกับว่าไฟล์ภาพนั้นถูกพลังงานบางอย่างปกป้องเอาไว้
ความกลัวที่เคยถูกกดไว้เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างอีกครั้ง มันไม่ใช่แค่ความกลัวผีอีกต่อไป แต่เป็นความกลัวต่อสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เทคโนโลยีที่เขาเชื่อมั่นและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาตลอด กำลังทรยศเขา
เขารีบเก็บกล้องใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ ตัดสินใจว่าต้องรีบกลับไปยังที่พักของตัวเองให้เร็วที่สุด บรรยากาศสบายๆ ในร้านฮิมฮ่มคาเฟ่บัดนี้กลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด ทุกเสียงหัวเราะ ทุกเสียงพูดคุยรอบข้าง ฟังดูห่างไกลออกไป เขารู้สึกเหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา
“อ้ายเหนือจะปิ๊กแล้วกาเจ้า? หน้าซีดๆ เน้อ บ่าสบายกา?” (พี่เหนือจะกลับแล้วเหรอคะ? หน้าซีดๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า?) เอื้องผึ้งเอ่ยทักด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นยืนอย่างพรวดพราด
“อ๋อ...เปล่าครับ แค่รู้สึกเพลียๆ นิดหน่อย” เขาปั้นหน้ายิ้มตอบอย่างยากลำบาก “ผมขอตัวกลับไปพักก่อนนะครับ”
เขาจ่ายเงินและรีบเดินออกจากร้านไปทันที โดยไม่รับรู้ถึงสายตาเป็นกังวลของเอื้องผึ้งที่มองตามหลังเขาไปจนลับสายตา
โฮมสเตย์ที่เขาพักอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้านและตกแต่งอย่างทันสมัย ซึ่งเคยทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน แต่ในวันนี้ ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ความรู้สึกแปลกแยกก็เข้าจู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิที่เจ้าของโฮมสเตย์ใส่แก้ววางไว้ บัดนี้กลับให้ความรู้สึกคล้ายกลิ่นดอกไม้หน้าศพจนน่าเวียนหัว
เขาล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา ทิ้งกระเป๋ากล้องลงบนเตียง ก่อนจะตรงไปเปิดแมคบุ๊กโปรของตัวเอง เขาต้องการหน้าจอที่ใหญ่กว่านี้เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ...หรืออาจจะเป็นการตอกย้ำความบ้าคลั่งที่กำลังเกิดขึ้น
เหนือเมฆเสียบการ์ดรีดเดอร์ โอนไฟล์ภาพทั้งหมดลงในคอมพิวเตอร์ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เขากดเปิดไฟล์ภาพเจ้าปัญหาขึ้นมา...
ภาพนั้นปรากฏขึ้นเต็มความละเอียดของหน้าจอ Retina Display...
บัดนี้เขาสามารถเห็นมันได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม...ชัดจนอยากจะควักลูกตาตัวเองทิ้ง เงาของสตรีในรอยยิ้มนั้นไม่ได้เลือนรางอีกต่อไป เขาสามารถมองเห็นรายละเอียดของเครื่องแต่งกายโบราณ ริ้วรอยแห่งความอาฆาตในดวงตาที่จ้องตรงมา...ทะลุผ่านเลนส์กล้อง ทะลุผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์...มายังตัวเขาที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้
พรึ่บ!
หลอดไฟในห้องกระพริบติดๆ ดับๆ อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะกลับมาสว่างดังเดิม
เหนือเมฆสะดุ้งเฮือก เขารีบปิดไฟล์ภาพนั้นทันทีราวกับมันเป็นของร้อน แต่ภาพรอยยิ้มอันน่าสยดสยองนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในม่านตาของเขา เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง คลุมโปงจนมิดศีรษะ พยายามข่มตาให้หลับเพื่อหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้าย ความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัวสุดขีดทำให้เขาผล็อยหลับไปในที่สุด...
...และดำดิ่งสู่ฝันร้ายที่แจ่มชัดยิ่งกว่าความเป็นจริง
