บทที่ ๒ - 2
แชะ!
แสงแฟลชสว่างวาบขึ้นชั่วพริบตา...ฉีกกระชากความมืดในห้องออกเป็นเสี่ยงๆ
และในวินาทีนั้นเอง...
ปัง!!!
บานประตูห้องที่เขาเปิดทิ้งไว้...พลันปิดกระแทกกลับอย่างรุนแรงจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นผงบนขื่อเพดานร่วงกราวลงมาราวกับห่าฝน
เหนือเมฆสะดุ้งสุดตัวจนแทบจะทำกล้องหลุดมือ เขารีบหันขวับไปมองบานประตูที่บัดนี้ปิดสนิท...ขังเขาไว้ในห้องนอนโบราณนี้โดยสมบูรณ์
‘ลม! ต้องเป็นลมแน่ๆ! ลมมันพัดแรง!’ เขายังคงพยายามตะโกนเถียงกับตัวเองในใจ แต่ครั้งนี้...ไม่มีส่วนไหนในร่างกายของเขาที่เชื่อคำพูดนั้นอีกต่อไปแล้ว อากาศในห้องเย็นเฉียบลงอย่างรวดเร็ว เป็นความเย็นที่เหน็บหนาวและชื้นแฉะ มันแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าเข้ามาจับขั้วหัวใจของเขาจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว
แล้วเขาก็ได้ยินมัน...
‘ฮึก...ฮือออ’
...เสียงสะอื้น...
เป็นเสียงสะอื้นของผู้หญิงที่แผ่วเบาและโหยไห้จนบาดลึกเข้าไปในจิตใจ มันไม่ได้มาจากนอกประตู...ไม่ได้มาจากนอกหน้าต่าง...
เสียงนั้น...ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา...ใกล้จนราวกับเจ้าของเสียงกำลังยืนหายใจรดต้นคอของเขาอยู่
สติของเหนือเมฆขาดผึง ความกลัวที่เคยถูกกดไว้ด้วยเหตุผลและความท้าทาย บัดนี้ได้ระเบิดทะลักออกมาจนท่วมท้น เขากรีดร้องออกมาโดยไม่มีเสียง...หมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง แต่กลับไม่พบอะไร...มีเพียงความว่างเปล่าของห้องที่ปกคลุมด้วยเงามืดเท่านั้น
แต่เสียงสะอื้นยังคงดังอยู่...วนเวียนอยู่รอบตัวเขา...
“ไม่! ไม่เอาแล้ว ผมไปแล้ว! ขอโทษครับ! ผมขอโทษ!”
เขาตะโกนออกมาอย่างไม่เป็นภาษา วิ่งไปที่ประตูอย่างไม่คิดชีวิต มือไม้สั่นจนจับลูกบิดทองเหลืองที่เย็นเฉียบแทบไม่ได้ เขากระชากและบิดมันสุดแรงจนในที่สุดสลักที่ขึ้นสนิมก็ยอมปลดปล่อยเขาเป็นอิสระ
เหนือเมฆพุ่งตัวออกจากห้องนอนแห่งความตายนั้นราวกับลูกธนู เขาวิ่งไม่คิดชีวิตไปตามโถงทางเดิน ไม่สนใจอีกแล้วว่าพื้นไม้จะยวบยาบหรือมีอะไรกีดขวาง เขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ไล่ตามหลังมาติดๆ เสียงสะอื้นนั้นยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในหู
เขากระโจนลงบันไดทีละสองสามขั้นจนเกือบจะหน้าคะมำล้มลงไปหลายครั้ง เมื่อเท้าแตะถึงพื้นดินได้สำเร็จ เขาก็ไม่รอช้า รีบวิ่งตรงไปยังช่องกำแพงที่เขาเข้ามาทันที สมองของเขาสั่งการเพียงอย่างเดียว...คือต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
เมื่อลอดตัวผ่านช่องกำแพงกลับออกมาสู่โลกภายนอกได้สำเร็จ เขาก็วิ่งต่อไปโดยไม่หันกลับไปมอง จนกระทั่งมาถึงถนนเส้นหลักของหมู่บ้าน เขาจึงหยุดยืนหอบหายใจโยน ตัวโอนเอนไปมาเหมือนจะหมดแรง เหงื่อกาฬแตกท่วมตัวทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนเลยแม้แต่น้อย
เขาพยายามสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปยังร้านฮิมฮ่มคาเฟ่ด้วยสภาพทุลักทุเล เขาไม่ได้เล่าอะไรให้เอื้องผึ้งฟัง เพียงแค่สั่งกาแฟแก้วใหม่และนั่งลงที่โต๊ะเดิม พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
เมื่อใจเริ่มสงบลง...ความเป็นช่างภาพก็กลับเข้ามาครอบงำ เขาอยากจะรู้ว่าภาพที่เขาเสี่ยงชีวิตเข้าไปถ่ายมานั้นเป็นอย่างไร เขาเปิดกล้องขึ้นมา ไล่ดูภาพทีละภาพ...ภาพตัวเรือน...ภาพโถงทางเดิน...ทุกอย่างยังคงดูสวยงามน่าทึ่ง...
และแล้วก็มาถึงภาพสุดท้าย...ภาพที่เขาถ่ายในห้องนอนนั้น
ภาพของตุ๊กตาไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง...
เหนือเมฆกดซูมภาพเข้าไปเพื่อดูรายละเอียดของมันใกล้ๆ และนั่นคือตอนที่เขาเห็น...
ในดวงตาที่ทำจากลูกปัดสีดำสนิทของตุ๊กตาตัวนั้น...มันมีเงาสะท้อนจางๆ ของตัวเขาที่กำลังถือกล้องอยู่...แต่ในเงาสะท้อนนั้น...ข้างๆ ตัวเขา...มีเงาของอีกคนยืนซ้อนอยู่ เป็นเงาเลือนรางของสตรีผมยาวในชุดโบราณ...ที่กำลังเงยหน้าขึ้นมา......แล้วฉีกยิ้มให้กล้อง
