บทที่ ๒ - 1
‘ลม...ต้องเป็นลมแน่ๆ’
เสียงแห่งเหตุผลในหัวของเหนือเมฆพยายามตะโกนแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก
‘บ้านเก่าขนาดนี้ ไม้มันก็ยืดหดเป็นธรรมดา สลักประตูคงหลวมแล้ว พอมีลมพัดผ่านช่องหน้าต่าง มันก็เลยเปิดออกเอง’
แม้สมองจะพยายามปลอบประโลม แต่ร่างกายกลับไม่ยอมเชื่อฟัง ขาทั้งสองข้างของเขาหนักอึ้งราวกับถูกตรึงไว้กับที่ บรรยากาศรอบตัวที่เคยรู้สึกว่าแค่เย็นยะเยือก บัดนี้กลับแฝงไปด้วยไอเย็นที่มองไม่เห็น มันกดทับลงมา ทำให้ทุกอนูของอากาศรอบตัวดูหนักหน่วงและเต็มไปด้วยสายตาที่จับจ้องมาจากทุกทิศทุกทาง
แต่แล้วเสียงกระซิบอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว...เสียงของศิลปินผู้หิวกระหาย...
‘ภาพแบบนี้...โอกาสแบบนี้...ไม่ได้มีมาบ่อยๆ’
ความปรารถนาที่จะได้ภาพถ่ายที่ดีที่สุดเอาชนะสัญชาตญาณที่กำลังหวีดร้องเตือนภัย เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ กำกระเป๋ากล้องในมือแน่นราวกับมันเป็นเครื่องรางชิ้นเดียวที่เขามี ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าขึ้นบันไดไม้ที่ผุกร่อนไปทีละขั้น
แกร๊บ...
เสียงไม้ลั่นใต้ฝ่าเท้าทุกย่างก้าวฟังดูน่าหวาดเสียว เขาต้องทิ้งน้ำหนักลงไปช้าๆ เพื่อทดสอบความแข็งแรงของมัน ราวบันไดที่เขาใช้ยึดเกาะนั้นเย็นเฉียบและสากมือด้วยเสี้ยนไม้กับฝุ่นที่จับตัวหนาเป็นคราบดำ
เมื่อขึ้นมาถึงชานเรือนชั้นบนได้สำเร็จ เขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องโถงกว้างที่มืดสลัว เฟอร์นิเจอร์ไม้สักแกะสลักอย่างงดงามหลายชิ้นถูกคลุมด้วยผ้าขาวที่บัดนี้กลายเป็นสีเหลืองตุ่นๆ และเต็มไปด้วยหยากไย่ รูปร่างของมันใต้ผืนผ้าดูคล้ายร่างของเหล่าเจ้าบ้านที่กำลังนั่งและยืนนิ่งอยู่ในความมืด...เป็นเหล่าผู้เฝ้ามองที่เงียบงัน ชวนให้จินตนาการเตลิดไปไกล แสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านรอยแตกของบานหน้าต่างเข้ามา ส่องให้เห็นฝุ่นละอองนับล้านที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ดูราวกับจักรวาลเล็กๆ ที่เวลาได้หยุดหมุนไปแล้ว
เหนือเมฆยกกล้องขึ้นมาอย่างเชื่องช้า...เสียงกดชัตเตอร์ที่คุ้นเคยช่วยดึงสติและเรียกความมั่นใจของเขากลับคืนมาได้บ้าง เขาเดินสำรวจไปตามทางเดินอย่างระมัดระวัง พื้นไม้บางแผ่นยวบยาบจนน่ากลัว เขาเดินผ่านห้องต่างๆ ที่ประตูถูกปิดตายเอาไว้ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่ประตูแง้มเปิดอยู่...ห้องนอนต้นเสียงนั่นเอง
เขาใช้ปลายนิ้วผลักบานประตูที่ฝืดเคืองให้เปิดออกกว้างขึ้น...
ภายในคือห้องนอนขนาดใหญ่ที่น่าจะเป็นห้องของเจ้าของเรือน เตียงสี่เสาหลังมหึมาตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง มุ้งผ้าป่านสีขาวที่ขาดวิ่นห้อยระย้าลงมาราวกับใยแมงมุมขนาดยักษ์ ถัดไปเป็นโต๊ะเครื่องแป้งไม้สักพร้อมกระจกบานใหญ่ที่ถูกฝ้าแห่งกาลเวลาบดบังจนขุ่นมัว และที่มุมห้อง...คือตู้เสื้อผ้าไม้บานใหญ่ที่ประตูบานหนึ่งเปิดอ้าอยู่ เผยให้เห็นเพียงความมืดมิดที่กลืนกินทุกสิ่งอยู่ภายใน
ทุกอย่างดูเหมือนห้องในบ้านร้างทั่วไป...จนกระทั่งสายตาของเขาเหลือบไปเห็นบางสิ่งบนโต๊ะเครื่องแป้งนั้น
ท่ามกลางฝุ่นที่จับตัวหนาเป็นนิ้ว บนพื้นผิวที่ทุกตารางนิ้วควรจะถูกปกคลุมไปด้วยคราบของกาลเวลา กลับมีวัตถุชิ้นหนึ่งวางอยู่...ที่ดูสะอาดผิดปกติราวกับมีคนนำมาวางไว้เมื่อไม่นานนี้เอง
เหนือเมฆก้าวเข้าไปใกล้ๆ อย่างช้าๆ สิ่งนั้นคือ ‘ตุ๊กตาไม้’ ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือ ถูกแกะสลักเป็นรูปเด็กผู้หญิงในชุดพื้นเมืองโบราณอย่างประณีต เนื้อไม้สีเข้มขึ้นเงา ดวงตาถูกทำจากลูกปัดสีดำสนิทสองเม็ดที่สะท้อนแสงแวววาวจนดูราวกับมีชีวิต...และมันกำลังจ้องมองตรงมายังเขา...ด้วยแววตาที่ว่างเปล่าจนน่าขนลุก
ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นปราดเข้าสู่หัวใจ มันทั้งงดงามและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน เขาไม่ลังเลที่จะยกกล้องขึ้นมา เขาก้มลงไปใกล้ๆ จัดองค์ประกอบภาพให้ตุ๊กตาไม้ตัวนั้นเด่นชัดอยู่ตรงกลาง โดยมีเงาสะท้อนเลือนรางของตัวเองในกระจกขุ่นมัวเป็นฉากหลัง
