ผีสาวที่ 3(1)
เริงรักในกระท่อม
ไม่ไกลจากสำนักตันติ้ง เศรษฐีหวังและบ่าวไพร่เหมาโรงเตี๊ยมทั้งหลัง เค้ายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ยิ่งพอได้ถามชาวบ้านละแวกนี้ ถึงได้รู้ว่านักพรตหรงร้ายกาจแค่ไหน ทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน ท่านผู้เฒ่ามีอายุเกือบร้อย ปราบปีศาจและวิญญาณร้ายแถบนี้จนหมดสิ้น ช่วยให้ชาวเมืองหลิวถงสงบสุขมาหลายสิบปี
“นายท่าน ทำเช่นไรดีขอรับ หรือพวกเราจะกลับไปมือเปล่า” พ่อบ้านสกุลหวังกล่าวอย่างหดหู่
“เหลวไหล! เสียเงินทองไปไม่น้อยแล้ว ผู้อื่นยังไม่มีวี่แววจะช่วยเหลือได้ แต่ข้าสอบถามชื่อเสียงอาจารย์หรงมาแล้ว หลานศิษย์อายุน้อยยังร้ายกาจปานนั้น หากเป็นตัวท่านเองต้องจัดการผีหัวขาดนั่นได้แน่ๆ”
นายบ่าวคุยกันถึงแผนการที่จะขึ้นเขาพรุ่งนี้ จากนั้นก็สั่งบ่าวไพร่แยกย้ายกันไปนอนหลับพักผ่อน จัดเวรยามส่วนหนึ่งอารักขาเฝ้าหน้าประตู
คฤหาสน์เค้ามีมูลค่ามากกว่าแสนตำลึง สองเดือนมานี้ใช้เงินในการจ้างนักพรตหลายคนไปไม่น้อย ยังไงก็ต้องหาทางเชิญเจ้าสำนักมากวิชาผู้นี้ไปให้ได้
หากแต่ก่อนรุ่งเช้า ความตั้งใจของเฒ่าหวังก็ต้องรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อเค้าตื่นขึ้นมากลางดึก ก็พบกับร่างไร้ศีรษะของหญิงสาวนางหนึ่งเดินเอาตัวโขกกำแพง
“ปึง ปึง ปึง!”
“อ๊ากกก! ผีหลอก ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
นักบู้ด้านนอกพอได้ยินเสียงร้อง ต่างก็รีบเปิดประตูพรวดพลาดเข้ามา แต่พอพบเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะนายหรือบ่าว เป็นอันต้องตกใจจนขวัญเสีย พากันวิ่งตาเหลือกลงบันไดชั้นสอง แต่ก็ผิดท่า เพราะยังไปไม่ถึงชั้นหนึ่ง ร่างผีหัวขาดตนนั้นก็ยืนดักหน้าอยู่ก่อนแล้ว
ความปั่นป่วนวุ่นวายเกิดขึ้นกลางดึก ไม่ว่าท่านจะจิตใจเข้มแข็งมาจากไหน ยามนี้กางเกงของแต่ละคนเปียกชุ่มไปด้วยปัสสาวะ ผีหัวขาดบัดเดี๋ยวย้ายไปยืนซ้ายทีขวาที เจ้านายและบ่าวไพร่ตระกูลหวังสิบกว่าชีวิตวิ่งหาทางหนีอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยังออกจากโรงเตี๊ยมไม่ได้แม้แต่คนเดียว
จนกระทั่ง!
“ตั้งค่ายผนึกสี่ทิศ”
ขณะที่นายท่านหวังและบ่าวไพร่วิ่งหนีจนถึงโถงกว้าง นักพรตหนุ่มสี่คนพลันพังหน้าต่างเข้ามา ทั้งหมดแยกย้ายกันประจำสี่จุด สาดซัดเส้นเชือกเล็กๆ สีดำไปคนละทาง
“พวกท่านหลบเข้ามุมกลั้นหายใจไว้ ออกให้ห่างจากรัศมีการต่อสู้”
สิ้นเสียงสั่งการของพรตหนุ่ม แต่ละคนก็ควบคุ้มเส้นสีดำในมือ นี่เป็นเชือกเต้าชุบเลือดหมาดำลงอาคม พอกางประสานกันก็กลายเป็นตาข่ายผืนหนึ่ง เมื่อกระทบถูกผิวกายผีสาว สะเก็ดไฟเล็กๆ ก็ระเบิดออกมา
สิบกว่าสายตายืนมองการต่อสู้ระหว่างนักพรตและผีหัวขาดอย่างดุเดือด ในชีวิตพวกเค้าไหนเลยเคยพบเจอเรื่องแบบนี้ ความหวาดกลัวกลับกลายเป็นความตื่นเต้น นักพรตทั้งสี่กระโดดตีลังกาไปมา บ้างใช้ของวิเศษกระบี่ไม้กระจกหกเหลี่ยม ต่อสู้พัวพันกับร่างผีสาวอย่างก้ำกึ่งสูสี
“ท่านนักพรต สู้ สู้ จัดการมันเลยขอรับ”
พ่อบ้านหวังทนความตื่นเต้นไม่ไหว จนหลุดปากส่งเสียงชูมือให้กำลังใจ เมื่อได้สติก็เห็นสายตาดุร้ายของเจ้านายด้านข้าง จึงหุบปากลงด้วยความอับอาย ทำตัวให้กลมกลืนหายเข้าไปในผนังกำแพง
เพียงแต่เรื่องราวไม่ได้จบลงง่ายดายปานนั้น เมื่อนักพรตทั้งสี่ไม่นานก็ถูกซัดกระเด็นไปคนละทาง ล้มลุกคลุกคลานกระอักเลือดคำโตออกมา
“พวกท่านหนีไปเร็ว พวกข้าจะต้านนางผีร้ายนี่ไม่ไหวแล้ว ขึ้นเขาไปหลบในสำนักข้าก่อน!”
เศรษฐีหวังเห็นสภาพอเนจอนาถของท่านนักพรตทั้งหลายมีหรือจะรอช้า รีบพาบ่าวไพร่สิบกว่าคนใส่ตีนปลาไหล มุงตรงฝ่าความมืดในคืนเดือนหงาย เพียงครู่เดียวก็ออกห่างจากโรงเตี๊ยมไปไกลลิบตา
***
“เฮ้อ! กว่าจะหลอกเจ้าพวกนั้นให้ตายใจได้เหนื่อยจริงๆ พี่รั่วรั่วอีกซักพักค่อยไล่ตามไป เดี๋ยวพวกข้าจะอยู่เก็บกวาดที่นี่ก่อน”
“ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง!” เผิงรั่วรั่วยังคงกระโดดยกแขนสองข้างอยู่กับที่ราวผีดิบ นางชูสองนิ้วเป็นอันตกลงว่าตกลง จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นสูงไปนั่งคอยอยู่บนหลังคา “…”
ท่ามกลางแสงจันทร์สลัว คนตระกูลหวังสิบกว่าชีวิตวิ่งเป็นเวลานานแล้ว ทุกคนแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง นอนแผ่หลาหอบหายใจอยู่ริมทาง บ้างกองอยู่บนโขดหิน สภาพน่าเวทนาราวกับสุนัขตาย
หากแต่ทุกคนไม่ทันหายเหนื่อยก็ต้องสะท้านกายขึ้นอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ เสียงกระทบวัตถุตกพื้นของอะไรบางอย่างดังไล่หลังอยู่ตรงตีนเขาเข้าใกล้มาเรื่อยๆ
“ดึ๋ง!....ดึ๋ง!....ดึ๋ง!”
เศรษฐีหวังหันกลับไปมอง เมื่อเห็นชัดถึงภาพตรงหน้าเค้าแทบอยากสิ้นสติ ผีหัวขาดนั่นถึงกับกระโดดตามพวกตนมา ขณะหน้าสิ่วหน้าขวานไม่ทราบทุกคนไปเอาเรียวแรงมาจากไหน ต่างก็สวมวิญญาณสุนัข วิ่งสองขาบ้างสี่ขาบ้าง หนีตายจนถึงประตูใหญ่สำนักตันติ้ง
“ปึง! ปึง! ปึง!”
“เสียงห่วงเหล็กกระทบไม้ดังลั่น ศิษย์รุ่นเล็กพอเปิดประตู คนตระกูลหวังทั้งหมดก็พุ่งเข้ามาเกาะขา ร่ำร้องโหวกเหวกโวยวาย จนทั้งสำนักต้องพากันจุดโคม” “…”
***
รุ่งเช้า
