บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

อนิลทิตายนึกถึงพี่สาวด้วยความใจหาย กระทั่งถึงวัดที่ตั้งศพ

เธอไม่ได้แวะบ้าน เพราะรู้จากมารดาทางโทรศัพท์แล้ว ว่าได้นำศพไปไว้ที่วัดเลย เพราะเชื่อกันมาแต่โบราณว่าไม่ควรเอาศพคนตายโหง คือการตายที่มีสาเหตุมาจากประสบอุบัติเหตุ เข้าบ้าน

คนที่ออกมารอรับตั้งแต่เห็นเธอขับรถเข้าไปจอด ไม่ใช่มารดา แต่เป็นพี่เขยที่เพิ่งตกพุ่มม่ายหมาดๆ

“ไม่นึกว่าอินจะมาได้เร็ว”

สีหน้าของชายหนุ่มดูหมองคล้ำ ดวงตาสีน้ำตาลจัดเหมือนจมลึกลงไปอีก แปลกว่าเธอรู้สึกว่าเขาเผชิญกับความทุกข์มานาน แทนที่จะเป็นว่าเพิ่งมาทุกข์ระทมกับการจากไปของภรรยาคนสวย

“พอคุณแม่โทรไป อินก็บอกลางานกับหัวหน้าทันที”

เธอตอบ มองหน้าคมสันอย่างเห็นใจ เข้าใจความหม่นหมองของเขา

“อินเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ พี่ณัท ไม่คิดว่า...”

ไม่ได้ตั้งใจเลยที่จะร้องไห้ออกมาต่อหน้าเขา แต่จู่ๆ น้ำตาก็ไหลพราก เพียงคิดไปว่าพี่สาวคนเดียวมาด่วนจากไปเสียแล้ว ส่งผลให้หลานสาวที่ยังไม่เดียงสาต้องมากำพร้าแม่ โตมาก็คงจำหน้าแม่ไม่ได้ ต้องอาศัยดูจากรูปถ่าย แล้วเด็กผู้หญิงที่ขาดแม่ ซึ่งมีทางเป็นไปได้สูงว่าผู้เป็นพ่อคงจะหาแม่เลี้ยงให้แน่ๆ ในเมื่อยังหนุ่มยังแน่นออกอย่างนั้น

“ไม่เป็นไร”

เสียงบอกมาเกือบเป็นกระซิบ

“อย่าร้องไห้ อิน คิดเสียว่า... อัญเขาไปสบายแล้ว”

ขณะปลอบที่เห็นหญิงสาวโศกเศร้าเสียใจต่อการจากไปอย่างไม่คาดฝันของพี่สาว ณัทธรไม่ได้มองหน้าคนที่ยืนก้มหน้าน้ำตาไหลพรากๆ ด้วยการเมินไปทางอื่น กรามถูกบดเข้าหากันจนปรากฏรอยนูนที่ข้างแก้ม ประกายตาคมจุดแววกราดเกรี้ยวอยู่ลึกๆ ชั่วขณะหนึ่ง

ก่อนหนุ่มสาวจะทันได้พูดอะไรกันต่อ ดวงทิพย์ก็เดินอุ้มหลานสาววัยขวบสองเดือนเข้ามาหา

เด็กหญิง พิมพ์ทิตา มณฑารพ หรือน้องอิง ได้ถือกำเนิดก่อนกำหนด คือออกมาลืมตาดูโลกหลังจากมารดาตั้งครรภ์ได้เพียงเจ็ดเดือนด้วยน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ถึงตอนนี้ แม้รูปร่างจะแบบบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ สุขภาพอนามัยของแม่หนูก็จัดว่าสมบูรณ์ พัฒนาการต่างๆ เป็นไปตามวัยทุกอย่าง

อนิลทิตาสวมกอดมารดาไว้หลังจากกราบลงที่ไหล่ ไม่รู้จะปลอบมารดาอย่างไรดี นอกจากพูดว่า “ไม่เป็นไรนะคะแม่”

ดวงทิพย์ไม่ได้กล่าวตอบ ได้แต่รับรู้ว่าบุตรสาวคนเล็กเข้าใจความรู้สึกของเธอดี เพราะต่างก็ร่วมสูญเสียด้วยกันในครั้งนี้ เหมือนเมื่อครั้งครอบครัวพิรุฬพรได้เสียหัวหน้าครอบครัวไป

“ส่งน้องอิงมาให้ผมเถอะครับ” ณัทธรพูดขึ้น

นั่นละ อนิลทิตาจึงคลายวงแขนจากมารดา ถอยออกห่าง พร้อมกับมองหน้าเล็กของหลานสาวตัวน้อยด้วยดวงตาพร่าพราย

ความเวทนาสงสารหลาน ที่ต้องมากำพร้ามารดาก่อนจะทันรู้ความนั้นเอง ทำให้กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง

ยิ่งแม่หนูฉีกยิ้มแป้นแร้นเห็นเหงือกสีชมพูส่งมาให้อย่างไร้เดียงสา ก็หลุดเสียงปนสะอื้น

“ยายหนู... น้องอิง น้องอิงของน้า มานี่มา”

อนิลทิตารับร่างจ้อยของหลานสาวมาอุ้มเสียเอง และก็แปลกนัก ทันทีที่ตกสู่อ้อมโอบของน้าสาว แม่หนูตัวน้อยก็ตวัดแขนเล็กๆ โอบรัดเข้ารอบคอน้าสาว แถมยังซุกหน้ารูปหัวใจดวงน้อยๆ ย่อส่วนลงมาจากใบหน้าของคนอุ้ม ลงกับซอกไหล่ของคนเป็นน้าอย่างประจบ ไร้ท่าทีตื่นกลัว ทั้งๆ เจอกันเพียงหนเดียว แล้วตอนนั้นแม่หนูเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ไม่กี่ชั่วโมง

ดวงทิพย์สะอื้นเบาๆ กับท่าทีสนิทสนมสนม บอกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่หลานน้อยมีต่อลูกสาวคนเล็กของเธอ

ความผูกพันทางสายเลือด... ดูเหมือนจะเป็นคำอธิบายที่ตรงตัวที่สุด เพราะปกติ เด็กหญิงใช่จะยอมให้ใครอุ้มง่ายๆ ยิ่งกับคนแปลกหน้าด้วยแล้ว ไม่เอาด้วยเลย

ณัทธรถึงกับเมินหน้าจากหญิงสาวเป็นครั้งที่สอง ไม่มีใครเห็นสีหน้าเขาว่าเป็นเช่นไรในวินาทีนั้น เพราะเมื่อหันกลับมาพูดเสียงเรียบ ทุกอย่างเป็นปกติ

“เข้าไปในศาลากันเถอะครับ หัววันอย่างนี้คงจะยังไม่มีใครมา”

“ไปสิจ๊ะ”

ดวงทิพย์รับคำลูกเขย แต่ก่อนจะทันก้าวเดินก็ต้องพากันชะงัก

รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดในลานหน้าศาลาที่ตั้งศพ

พอคนในรถก้าวลงมา ณัทธรก็พูดขึ้นเกือบทันที

“เพื่อนผมเอง คงจะได้ข่าวจาก... ทางเพื่อนของอัญญดาที่กรุงเทพฯ ผมขอตัวสักครู่นะครับ คุณอาเข้าไปนั่งพักก่อนก็ได้”

ดูเหมือนณัทธรจะมีเรื่องพูดคุยกับเพื่อนของเขามากทีเดียว กว่าจะตามเข้าไปสมทบกับแม่ยายด้านในศาลาก็เกือบสิบนาทีให้หลัง

“คุณอาครับ นี่...ภาสุรพันธ์ เพื่อนผม”

“เรียกผมโป้งเถอะครับ”

ชายหนุ่มที่มาบอกเรียบร้อยขณะยกมือไหว้แม่ยายเพื่อน

ภาสุรพันธ์ ศานุวัตร มีความสูงพอๆ กับผู้เป็นเพื่อน เพรียวกว่าเล็กน้อย ผิวขาว หน้าคมสวย คิ้วเข้มดำเป็นปื้นเหนือกรอบตาคม เป็นสีเดียวกับผมเส้นหยักศกบนศีรษะ ซึ่งเป็นสีเดียวกับนัยน์ตา

เนื่องจากความขาวของสีผิว ริมฝีปากเต็มได้รูปงามจึงออกสีเนื้อสดค่อนไปทางชมพูเล็กน้อย

จมูกโด่งตรงได้ส่วน มองเห็นรอยขาวจางๆ ของแผลเป็นเล็กๆ ที่คงจะเกิดขึ้นนานแล้วพาดผ่าน ไม่สังเกตใกล้ๆ ก็แทบมองไม่เห็น

ประกายจากดวงตาสีดำสนิทในวงล้อมขนตาดกหนา แจ่มใส พร่างไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี เหมือนว่าไม่เคยพานพบความทุกข์โศกใดๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา

“นั่นคงจะเป็น...น้องอิง ใช่ไหมครับ น่ารักจริง ไหน... ขอลุงอุ้มหน่อยได้ไหมเอ่ย”

แม่หนูมองชายหนุ่มวัยเดียวกับพ่อตาแป๋วอยู่ครู่หนึ่ง ก็ซุกหน้าลงกับซอกคอน้าสาวที่ยังอุ้มกันอยู่ แขนเล็กดูเหมือนจะรัดลำคอผู้เป็นน้าแน่นขึ้น เรียกเสียงหัวเราะ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะครั้งแรกในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง หรืออาจจะนานกว่านั้น จากบิดาของแม่หนู

“อย่าไปขอเลย ท่าทางจะติดน้าอินแจเสียแล้ว ขนาดพ่อยังไม่ยอมมาหา” ณัทธรพูด น้ำเสียงฟังว่าพอใจมากกว่าจะขุ่นเคือง สีหน้าแววตาก็เหมือนจะแช่มชื่นขึ้น “อ้อ ยังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จัก อนิลทิตา น้าสาวยายหนู”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณอนิลทิตา”

ภาสุรพันธ์ทักทายขึ้นก่อน ประกอบรอยยิ้มเก๋ ถ้าเป็นสาวอื่นก็อาจหัวใจกระตุกไปเหมือนกัน แต่ไม่ใช่อนิลทิตา เธอเพียงแต่ยิ้มตอบรับคำทักทายตามมารยาท

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel