บทที่ 5
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ แต่คุณภาสุรพันธ์เรียกอินอย่างอย่างคนอื่นๆ เถอะนะคะ อย่าเรียกอนิลทิตาเลยลิ้นจะพันกันเปล่าๆ”
“ขอบคุณครับ ทั้งยินดี และเต็มใจ คุณอินเองก็เรียกผมโป้งเถอะครับ ท่าทางยายหนูจะง่วงแล้วนะครับนั่น ดูตาปรอยๆ”
อนิลทิตาก้มมองหลานสาว
“ท่าจะง่วงจริงๆ ด้วย เอ เอาไงดี? หาที่ให้นอนแถวนี้จะเหมาะหรือคะแม่?” หันไปหารือมารดา
ดวงทิพย์ไม่ทันตอบ บิดาของเด็กหญิงก็พูดขึ้นเสียก่อน
“ส่งมาให้พี่เถอะ เดี๋ยวพี่จะเอากลับไปนอนที่บ้านเอง... นายรออยู่นี่ไปก่อนนะโป้ง”ท้ายประโยคหันไปบอกเพื่อน
“ได้ นายไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเรา”
ณัทธรขยับเข้าไปหมายจะรับร่างจ้อยมาจากหญิงสาว แต่พอเขาแตะมือลงบนต้นแขนเล็ก ไม่ทันได้ดึงเข้าหาตัว เท่านั้นเองก็เกิดเรื่อง
แม่หนูที่กำลังทำท่าจะหลับไม่หลับแหล่ร้องแว้ดประท้วงขึ้นมาทันที ตาปรือๆ บอกว่าคงง่วงเต็มทีเริ่มฉ่ำน้ำตา
“โอ๋ๆๆ...ไม่ไปจ้ะ ไม่ไป หยุดร้องนะคนดี น้าอินไม่ให้ใครเอาน้องอิงของน้าอินไปไหนหรอก โอ๋ๆๆ เงียบเสียนะ”
พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ทำท่าอ่อนใจไปตามๆ กัน เพราะแม่หนูตัวน้อยทำท่าฉลาดแสนรู้เกินวัยด้วยการซบแก้มนุ่มใสข้างหนึ่งลงอิงอกน้าสาว หยุดส่งเสียงร้องแสบแก้วหูอย่างรู้ภาษา และดูเหมือนว่าตากลมดำใสที่ยังฉ่ำน้ำตา จะมองบิดาอย่างไม่พอใจที่คิดพรากแม่หนูไปจากอ้อมอกอุ่นที่โอบอุ้มแม่หนูไว้อย่างอ่อนโยน
ณัทธรหัวเราะหึๆ ไม่รู้พอใจหรือไม่พอใจ แต่เมื่อพูดขึ้นก็ทำเอาอนิลทิตาชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะไม่ทันคิดไกล
“อินเห็นจะต้องพายายหนูกลับไปนอนที่บ้านกับพี่แล้วล่ะ”
อนิลทิตาเหลือบมองมารดา
ดวงทิพย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำเสนอของชายหนุ่ม
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันพาคุณอินกลับบ้านเอง นายจะได้อยู่คอยรับแขกทางนี้”
ภาสุรพันธ์เสนอขึ้นมา เขาแค่อยากช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อน ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ดูเหมือนจะมีคนคิด
“ไม่เป็นไร” ณัทธรปฏิเสธอย่างไม่พักคิด
“เราพาไปเอง นายอยู่เป็นเพื่อนคุยกับคุณอาทางนี้ไปละกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องรับรองแขก คงจะยังไม่มีใครมาหรอก ค่ำๆ แน่ะ ต่างจังหวัดเขาสวดอภิธรรมกันดึก จะเริ่มก็โน่นสองทุ่ม สองทุ่มครึ่ง ไม่เหมือนทางกรุงเทพฯ สองทุ่มนี่ แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันแล้ว มาเถอะ อิน หลานสาวอินงอมเต็มทีแล้วเห็นไหมนั่น”
เพราะรักหลาน... ทั้งรักทั้งเวทนาสงสาร อนิลทิตาจึงอุ้มร่างจ้อยตามไปแต่โดยดี ไม่มีโอกาสได้เห็นแววประหลาดจากดวงตาคมดำของชายหนุ่มคนที่ต้องนั่งคุยเป็นเพื่อนมารดาของเธอ
ภาสุรพันธ์ขันเพื่อน แต่ก็ประหลาดใจพร้อมกันไป เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจผิด
ณัทธรกับเขาคบหาเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน พอที่จะอ่านสีหน้า แววตา กันออก...
“คุณกับพ่อพ่อณัทรู้จักกันมานานแล้วหรือจ๊ะ”
เสียงถามอย่างชวนคุย ยุติความคำนึงของชายหนุ่ม ที่ยังมองตามเพื่อนรักกับหญิงสาวร่างเล็กอรชร ลงเพียงเท่านั้น
“นานแล้วครับ สิบกว่ามาแล้ว”
“พ่อณัทเป็นคนดีมากจริงๆ ดีเสียจน... เฮ้อ คิดแล้วก็ได้แต่เสียดาย”
ภาสุรพันธ์ไม่กล้าถามว่าเสียดายอะไร แต่คิดเอาเองว่า ดวงทิพย์คงจะเสียดายที่บุตรสาวมาด่วนจากไป ซึ่งนางก็คงคิดต่อไปอีกว่า อีกไม่นานลูกเขยที่จะกลายเป็นอดีต ก็คงจะมีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในชีวิต ด้วยวัยที่ยังหนุ่มแน่นเกินกว่าจะครองตัวเป็นพ่อม่ายเมียตาย ไปตลอดชีวิตที่เหลือ
เขาไม่กล้าพูดออกไปอย่างใจคิด เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงได้แต่รับฟัง
ภาสุรพันธ์ไม่ต้องคอยระวังว่าจะเผลอปากพูดอะไรที่ตัวเขายังไม่มั่นใจออกไป เนื่องจากดวงทิพย์ได้เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ไกลตัว ไกลเรื่องในครอบครัวหลังจากนั้นไม่นาน
หนุ่มสาวที่นั่งมาด้วยกันในรถ ไม่พูดอะไรกันเลย
ฝ่ายชายนั่งหน้าขรึม ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเคร่งครัด แทบจะไม่เหลือบมองคนข้างๆ ที่นั่งประคองหลานน้อยซึ่งหลับไปแล้ว
บรรยากาศภายในรถทำให้อนิลทิตารู้สึกอึดอัด เธออยากพูด อยากถามเขาหลายอย่างเกี่ยวกับการตายของพี่สาว แต่เห็นสีหน้าขรึมเครียดนั้นแล้วก็รู้สึกครั่นคร้ามจนไม่กล้าแม้แต่จะกระแอมไอ ทั้งที่เริ่มระคายคอขึ้นมาเป็นริ้วๆ
ในที่สุด ก็ทนคันในคอไม่ไหว ต้องกระแอมออกมาติดๆ กัน
ณัทธรหันขวับ
“ไม่สบายหรือเปล่า”
เขานิ่วหน้า ขณะมองหน้าเรียวออกรูปหัวใจอยู่กึ่งอึดใจก่อนกลับไปมองถนนตามเดิม
“เปล่าค่ะ แค่ระคายคอ”อนิลทิตาตอบด้วยเสียงเรียบร้อย
“อินไม่ยอมเป็นกันเองกับพี่จนแล้วจนรอดนะ เจอกันตั้งหลายครั้งไม่เคยลดพิธีรีตองลงเลย”
อนิลทิตาเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมสันด้วยความประหลาดใจ เมื่อจับได้ถึงกังวานหางเสียงคล้ายจะต่อว่าในที
“หลายครั้งของพี่ณัท เท่าที่อินนับได้ก็แค่สามครั้งเองนะคะ เมื่องานศพคุณพ่อ งานแต่งพี่ณัทกับพี่อัญ แล้วก็ครั้งนี้”รีบค้านออกไป
“สี่”ณัทธรแย้ง ตายังมองไปข้างหน้า“จำครั้งที่เราเจอกันที่โรงพยาบาลตอนน้องอิงคลอดไม่ได้หรือ”
“อ้อ ใช่ค่ะ อินลืมไป”
การยอมรับแต่โดยดีในความหลงลืมของหญิงสาว ทำเอาณัทธรเงียบไป
สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดลดลงก็จริง แต่ก็กลับมีแววครุ่นคิดเข้ามาแทน เป็นนานจึงพูดขึ้น
“พี่นี้ถ้าจะไม่เคยอยู่ในสายตาอินจริงๆ ขนาดว่าเจอกันแค่สี่ครั้งเท่านั้น อินยังจำไม่ได้”
“อินมีเรื่องต้องทำต้องจำตั้งมากมาย จะให้เที่ยวจดจำทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เห็นจะไม่ไหวหรอกค่ะ” อนิลทิตาตอบเสียงเฉยๆ
“ขอบใจที่บอกให้รู้ทางอ้อมว่าพี่ไม่ควรสำคัญตัวเองผิด อันที่จริงพี่ก็พอจะรู้อยู่แล้วละว่าตัวเองไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรพอจะให้อินจดจำ”
ณัทธรพูดแล้วก็หัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาฟังแห้งแล้งเกินกว่าจะออกมาจากอารมณ์ขบขันจริงๆ
“เล่าเรื่องงานของอินให้พี่ฟังบ้างซี” เขาพูดต่อคล้ายจะชวนคุย
“ไม่มีอะไรจะเล่าเลยค่ะ”อนิลทิตาตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบ
นานทีเดียวจึงพูดขึ้น หลังจากแอบมองเสี้ยวหน้าคมสันหลายครั้ง
“พี่ณัทพอจะเล่าให้อินฟังได้ไหมคะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่อัญถึงได้... ไปประสบเหตุไกลบ้านตามลำพังอย่างนั้น เมื่อคุณแม่โทรไปหาอิน ก็พูดแต่ว่ารถที่พี่อัญขับไปสนามบินเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง”
“พี่ว่าอินรอถามรายละเอียดจากคุณอาจะดีกว่า”
สีหน้าเมื่อหันมามองเธอแวบหนึ่งของชายหนุ่มนั้นเอง ทำให้อนิลทิตาหุบปากนิ่ง
