ป่าหัวใจไฟกามเทพ

91.0K · จบแล้ว
พันแสงจันทร์ /ลิลลี่ โจนส์/ ลิลเอง /กำไลแก้ว
62
บท
4.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า นิยายก็คือนิยาย... คือเรื่องที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งขึ้นจากจินตนาการผู้เขียน แม้จะมีนวนิยายอยู่หลายเรื่องจำลองมาจากเรื่องจริง หรือมีเค้าโครงมาจากเรื่องราวของคนที่มีอยู่จริง สำหรับป่าหัวใจไฟกามเทพ เกิดจากจากจินตนาการล้วนๆ ของผู้เขียนที่ชอบสร้างโลกของตัวเอง โลกที่มีพระเอก-นางเอก โลกที่...แล้ววันหนึ่งทั้งสองก็ครองรักกันตราบนานเท่านาน เรื่องราวความรักของพี่ณัท-หนูอิน จึงถือกำเนิดขณะผู้เขียนต้องการสร้างเสริมกำลังใจให้ตัวเอง เพราะพี่ณัท คือพระเอ๊กพระเอก ส่วนหนูอิน ... ถ้านักอ่านท่านใดอ่านผลงานของผู้เขียนหลายๆ เรื่อง อาจจับจุดได้อย่างหนึ่ง คือนางเอกจะไม่ค่อยสวยเลิศเลอชนิดใครเห็นเป็นตกตะลึงมองตาค้าง แต่จะมาแนวสวยพอประมาณ (จะมีตัวละครอื่นในเรื่องสวยกว่า) ฉลาด น่ารัก มีการศึกษา เรียนเก่ง นิสัยดี แต่ในด้านการใช้ชีวิตค่อนข้างจะซื่อและอ่อนต่อโลก ไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมคนที่มาในรูปแบบของมิตร ประมาณว่าตัวเองไม่ได้คิดร้ายกับใคร ก็ไม่น่าจะมีคนมาคิดร้ายด้วย เรียกว่ามองโลก ไม่ค่อยจะมองคนลึกๆ ให้เห็นแง่มุมร้ายๆ จะมองแต่ส่วนดี เป็นเหตุให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่ คับขันได้ง่าย แต่นางเอกก็คือนางเอก พอเข้าที่คับขันก็มักจะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย อัศวินที่ว่านี้แน่นอนสิว่าจะต้องเป็นพระเอก อาจฉายเดี่ยว หรือมีผู้ช่วยเป็นกองหนุน อย่างพี่ณัทก็มีคุณโป้งคอยระวังหลัง ตัวละครอย่างแพ็ตซี่ ในโลกจริงๆมีเยอะ ถึงว่าอาจจะไม่ร้ายกาจเท่า แต่ที่ร้ายกว่าก็น่าจะพอมี มักคิดว่าตัวเองคือนางเอก คือผู้ถูกกระทำ จะไม่หยุดมองเข้าในจิตใจตัวเองว่าจริงแท้แล้วนั้นมีจิตใจหยาบช้า มีสัญชาตญาณของสัตว์ร้าย เห็นแก่ตัว รักตัวเองมากจนไม่รู้จักคำว่าเผื่อแผ่ เวลาทำอะไรให้สิบก็จะเอาคืนร้อย หว่านหญ้าแต่อยากเก็บผลแอปเปิ้ล คนลักษณะนี้เมื่อถึงคราวต้องชดใช้กรรม หรือต้องตกทุกข์ได้ยากมักโทษคนอื่น ไม่เคยโทษตัวเอง ชอบอ้างนั่นอ้างนี่ให้การกระทำผิดๆ หรือการกระทำน่าตำหนิของตัวเองกลายเป็นถูก และได้รับคำชม พล่ามมามากแล้ว ถึงเวลาอำนวยอวยพรให้นักอ่านทุกท่านจงมีแต่ความสุข และสนุกกับการอ่านในแต่ละบรรทัด มีบันทึกไว้ที่ไหนสักแห่ง... การอ่านไม่ทำร้ายใคร เพราะฉะนั้นจงอ่าน อ่าน และอ่านให้เกินแปดบรรทัดต่อวัน แล้วจะรู้ว่าการอ่านนั้นมีประโยชน์ รัก และขอบคุณทุกๆท่าน พันแสงจันทร์ โปรย ณัทธร มณฑารพ (ณัท) พ่อหม้ายลูกติดวัย 32 เจ้าของไร่มณฑาธารผู้รักลูกกำพร้าแม่ของเขาเป็นแก้วตา เป็นคนจิตใจมั่นคง เผชิญกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ที่ถามโถมเข้ามาในชีวิตอย่างมีสติ ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา เป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์ดึงดูด แถมเป็นเจ้าของไร่ใหญ่โต ทำให้มีผู้หญิงหวังจะพิชิตทั้งกายใจเขาอยู่ไม่น้อย ทว่าหัวใจรักแท้ของเขาจะอยู่ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียว อนิลทิตา พิรุฬพร (อิน) หญิงสาวผู้ถูกโชคชะตาเล่นตลกในเรื่องของหัวใจ เพียงแรกพบหัวใจสาวก็สลักชื่อผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่เธอรู้ดีว่าไม่มีวันได้ครอบครองเป็นเจ้าของเขาไม่ว่าในทางใด ..................... ตัวอย่างช่วง...วาบหวาม เธอเริ่มรู้สึก... เริ่มรับรู้ในความตึงคับจากสิ่งที่ล่วงล้ำ ยึดพื้นที่เพื่อการครอบครองในกายเธอ “พี่...ณัท” เสียงเรียกเขาแทบจะฟังเป็นคราง “จ๋า!” ณัทธรครึมครางรับ ความแข็งแกร่งคืนสู่ตัวเขารวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นนับแต่พ้นช่วงวัยรุ่น เขารู้ และตั้งใจแน่วแน่ จะไม่ทำให้เจ้าสาวของเขาผิดหวังซ้ำสอง ความรู้สึกของอนิลทิตาห่างไกลความผิดหวัง เจ้าบ่าวของเธอทำให้เธอเรียกชื่อเขาด้วยเสียงครวญคราง ความปรารถนารุนแรงที่ถูกปลุก ความตื่นเร้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำให้เธอรู้จักที่จะเคลื่อนไหวกายโต้ตอบเขา และไม่น่าเชื่อว่าเขากับเธอจะสามารถสอดประสานคล้องจองไปในท่วงทำนองเดียวกันได้ดีขนาดนี้ “อิน...อินจ๋า!” สะโพกของเธอถูกยึดมั่นก่อนเขาจะถาโถมเข้าหาด้วยจังหวะหนักหน่วง ความรัก ความใคร่โจนทะยานอยู่ในคลื่นหฤหรรษ์ “พี่ณัท...พี่ณัท!” “พี่รู้จ้ะ...พี่รู้คนดี” ถ้าอนิลทิตาจะลุ่มหลงในทุกจังหวะการเคลื่อนไหวของเขา ณัทธรก็คลั่งไคล้ในทุกเสี้ยววินาทีที่ได้สัมผัสความเร่าร้อนอ่อนหวานยามที่เขาฝากฝังตัวลงสู่ความคับแน่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความปวดร้าว โหยหา ความอิ่มเอมจนสุดพรรณนา นำพาหนุ่มสาวให้ลอยลิ่วๆ ไปกับกระแสธารพิศวาสอันเชี่ยวกราก ตัวอย่างช่วงดราม่า “พี่รู้ว่าอินยังสับสน” เสียงห้าวมีกังวานพูดขึ้น นั่นแหละหน้าที่ออกจะขาวใสกว่าปกติเพราะไม่ได้โดนแดดโดนลมเป็นเวลากว่าสัปดาห์จึงหันขวับมา “อินไม่ได้สับสน!” “อย่างนั้นหรือ ถ้าไม่สับสนก็แปลว่าดันทุรังเพราะรู้สึกผิดอย่างที่คุณอาว่า” “ทำไมจะต้องรู้สึกผิด ในเมื่ออินอยู่ของอินเฉยๆ ไม่เคยพยายามจะทำอะไรให้...ใครมารู้สึกยังไงด้วย” “ถ้าอย่างนั้นโกรธพี่เรื่องอะไร” “ใครว่าโกรธ อย่ามาหาเรื่องนะ!” “พี่ว่าอยู่นี่ไง ไม่ได้หาเรื่องด้วย” “ใช่ซี คุณมันวิเศษทุกอย่างนี่” “พี่จะไม่เถียงกับอิน จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ถ้าอินคิดว่ายังไงก็เมตตาพี่ไม่ได้ ไม่มีวันทำใจยอมรับพี่เป็นคู่ชีวิตอินได้ ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปี เพราะความเขลาของพี่ที่เคยหลงความงามของพี่สาวอินวูบหนึ่ง ก็ช่วยมองหน้าพี่ แล้วพูดออกมา... ‘ไปซะ’ แล้วพี่จะไม่เสนอหน้ามาให้อินระคายตาอีกเลย” เธอมองหน้าคมสัน แล้วพูดว่า “ไปซะ” ด้วยเสียงที่ฟังว่าถูกเค้นจากลำคอ ณัทธรมองหน้าที่วางอยู่บนหมอนราวสองสามอึดใจก็หันหลังเดินออกประตูไปเงียบๆ ทันที่ที่ร่าสูงลับสายตา อนิลทิตาก็พลิกตัวหันหน้าเข้าฝาแล้วสะอื้นออกมา เธอไม่รู้เลยจริงๆ ว่าน้ำตาไหลมาเทมาจากไหน แต่ทุกครั้งที่หลุดเสียงสะอื้นทั้งที่กำหมัดอุดปากเอาไว้แล้ว ความเจ็บปวด ก็เหมือนจะทิ่มแทงให้เลือดโซมใจ ยิ่งพร่ำบอกตัวเองว่า เขาไปแล้ว ไปจริงๆ ไปตามที่เธอได้ออกปากไล่ ประสาคนทะนง ก็ยิ่งเหมือนมีใครมาปลิดหัวใจจากขั้ว ตัวอย่างช่วงเจ็บปวด อนิลทิตานิ่ง แทบลืมหายใจ เมื่อรับรู้ในอาการคล้ายปลาตอดตอดในท้อง ลูกจ๋า... นี่แม่นะ พ่อของลูกก็อยู่ตรงนี้ ได้แต่บอกลูกในใจขณะมือวางเรียวที่ฝ่ามือเริ่มด้านลงบนแผ่นอกที่ยังกว้างแม้จะเริ่มผ่ายผอม จากน้ำหนักที่ลดลง อนิลทิตามองร่างที่แสนรัก มองหน้าคมสันที่เคยยิ้มหัว ร่างนี้ยังมีชีวิต แต่ดวงตาคมที่เคยมองเธออ่อนเชื่อม เคยออดอ้อนเว้าวอน และปรือปรอยยามร่วมรักกัน กลับปิดสนิท เหมือนกับว่าความเข้มแข็งได้ถึงจุดอิ่มตัว ร่างบางที่ยืนหยัดอย่างเข้มแข็งมาได้เกือบห้าเดือนฟุบลงบนเตียงใกล้แขนทอดยาวของสามีที่รัก แล้วสะอื้นจนตัวโยน เพียงคิดไปว่าอาจจะไม่มีวันที่ร่างเหยียดยาวจะลุกขึ้นมาได้อีก ไม่มีวันที่เธอจะได้เห็นสายตาฉายแววรักใคร่เอ็นดู บางครั้งก็ปรายมาอย่างยั่วๆ และมากครั้งที่ดวงตาคมสีน้ำตาลจัดฉายแววเข้มลึก ด้วยอารมณ์ปรารถนาแรงกล้ายามมองร่างเปลือยของเธอ จะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะรื่นหูน่าฟัง ไม่ได้ยินเสียงพูดมีกังวาน... “ตื่นสิ...คะ...ลุกขึ้น...มา...สิคะ” แรงอัดอั้นจากความทุกข์โศกนับแต่รับรู้อาการสามีตกอยู่ในภาวะโคม่า จากความเจ็บปวดที่พยายามเข้มแข็ง เพื่อจะยืนหยัดอยู่ให้ได้อย่างมั่นคงแทนคนที่ลงไปนอนไม่ยอมตื่น ถูกระบายออกมาในรูปน้ำตา และเสียงสะอื้นไห้ มือบางวางบนร่างไม่ไหวติงกำทุบลงไปบนอกกว้างครั้งแล้วครั้งอีก “อย่าทำอย่าง...นี้กับ...อินอย่าทำ...อย่างนี้!” เสียงพูดปนสะอื้นขาดเป็นห้วง มือน้อยที่กำเป็นหมัดหลวมทุบลงบนอกแข็งเริ่มโรยแรงไปกับเสียงสะอื้น “ไม่มี...พี่ณัทแล้วอินจะ...อยู่ยังไง... ลูก...ของเรา....ล่ะพี่ณัทไม่อยาก... เห็นหน้าแกหรือยังไง... พี่ณัทขา...ถ้ารักเมียก็...สู้สิคะ สู้....กับอะไรก็ตามที่...ทำให้พี่ณัท...กลับมาหาอิน...ไม่ได้...กลับมาหาอิน!” ตุบ! หมัดน้อยๆ มีแรงประเคนลงบนแผ่นอกกว้างเพิ่มขึ้นจากความคับแค้น

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันรักแรกพบโรแมนติก

บทที่ 1

ฝนยังตกลงมาเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด อนิลทิตาต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ สภาพดินฟ้าอากาศแบบนี้คงไม่มีใครอยากจะออกจากบ้าน

ขับรถท่ามกลางสายฝนนี้เหลือจะทน บรรยากาศมืดมัวซัวไปหมด แสงไฟหน้ารถเปิดตั้งแต่ออกจากที่พักมาตลอดทาง ส่องเป็นลำไปได้ไม่ไกลนัก

หลังจากเลือกถนนเล็กที่จะไปบรรจบเส้นทางหลวงสายหลักทีหลัง อนิลทิตาก็รู้ว่าเป็นการตัดสินใจผิด เมื่อเจอรถบรรทุกคันใหญ่ๆ เข้าหลายคัน ต้องขับชิดขอบซ้ายของถนนตลอดเวลา ให้รถใหญ่ที่วิ่งเร็วกว่าไปก่อน รถเล็กของเธอเจอทั้งน้ำทั้งโคลนสาดใส่ไปทั้งคัน แต่ฝนลงมาขนาดนี้ก็พอจะล้างโคลนออกได้บ้าง

ที่ปัดน้ำฝนทำหน้าที่อย่างหนัก แต่ปัดเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด ฝนที่ตกลงมาเม็ดใหญ่และหนา เหมือนจะเทลงมาหนักกว่าเดิม

เสียงโทรศัพท์มือถือบนเบาะข้างตัวดังขึ้น หลังเธอนำรถกลับขึ้นสู่ถนนหลวงสายหลัก ในสองชั่วโมงต่อมา

“อิน... ถึงไหนแล้วลูก?”

เสียงพูดมาทันทีที่กดปุ่มรับสาย หลังจากเสียบหูฟัง

“อีกราวๆ ยี่สิบโล อินก็จะถึงทางแยกเข้าหมู่บ้านแล้วค่ะแม่”

บอกมารดาซึ่งคงจะเป็นห่วงที่ลูกสาวไม่ถึงบ้านเสียที

“ฝนตกหนักมาก หนูขับเร็วไม่ได้เลย”

“ไม่ต้องรีบนะ ค่อยๆ มา แม่เป็นห่วง”

“ค่ะ แม่ แค่นี้ก่อนนะคะ”

“จ้ะ ขับรถระวังๆ นะลูก ถ้าอินเป็นอะไรไปอีกคน...”

“แม่คะ”เรียกมารดาเสียงอ่อนโยน เมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือ พูดปลอบไป “หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ อย่างมากไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ก็คงจะถึงบ้าน”

เธอรู้ ความโศกเศร้ากับการจากไปอย่างกะทันหันของสามี จะอยู่กับมารดาของเธออีกนาน

ความรักระหว่างพ่อกับแม่นับว่าเป็นรักแท้ที่ยืนยง

ในชีวิตคู่ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรค แต่บิดามารดาของเธอก็จูงมือกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างมาได้ จวบกระทั่งบุตรสาวทั้งสองโตเป็นผู้ใหญ่

อนิลทิตานึกไปถึงพี่สาว

จากที่ได้พูดกันทางโทรศัพท์ เมื่ออัญญดาโทรบอกข่าวเกี่ยวกับการเสียชีวิตของบิดา เธออดรู้สึกไม่ได้ว่าถึงแม้พี่สาวของเธอจะเศร้าโศกเสียใจกับการเสียชีวิตของบิดา แต่ดูเหมือนจะมีความหงุดหงิดอยู่ด้วย

แต่อัญญดาก็นิสัยอย่างนั้นเอง คนใกล้ชิดต่างรู้ว่าถ้าไม่ได้ดังใจ หรือมีอะไรผิดไปจากที่คิดไว้จะหัวเสีย แล้วก็พาลกับคนรอบข้าง

อนิลทิตาพยายามวางใจเป็นกลาง ไม่ให้มีอคติกับพี่สาว ซึ่งก็มีกันเพียงสองคนพี่น้อง เมื่อตั้งถามกับตัวเอง

ถ้าเป็นเธอ... บิดาถึงแก่กรรมก่อนหน้าวันงานมงคลสมรสไม่ถึงสองสัปดาห์ ท่ามกลางความเสียใจจะหงุดหงิด พาลโกรธที่งานสำคัญของตนคงจะต้องเลื่อนออกไปหรือไม่?

คำตอบที่ได้คือ ‘ไม่’ เธอคงมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้

อนิลทิตารักบิดามารดาไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่เธอก็ค่อนข้างเป็นลูกพ่อ

เมื่อยังเด็ก ด้วยนิสัยซุกซน ไม่รังเกียจดินทรายที่อาจทำให้สกปรกมอมแมมไปบ้าง เธอจึงมักจะติดตามบิดาเข้าไร่ ระหว่างทางที่บิดาเดินสำรวจตรวจตราพืชผม เธอก็จะแล่นรี่ออกนอกเส้นทางเพื่อดอกไม้ป่า เก็บลูกผลไม้สีสันสวยงามแปลกตาไปฝากพี่สาว ฝากมารดาที่บ้าน

ทุกครั้งพ่อจะยืนรอเธออย่างใจเย็นด้วยสีหน้ายิ้มๆ คอยเตือนไม่ให้เธอเข้าไปยังที่รกๆ

ถ้าเห็นเธอขะเย้อแขย่งพ่อก็ตามมาเก็บให้ พ่อรู้ใจขนาดว่าอันไหนที่เธออยากปลิดเองกับมือ พ่อจะแค่แค่โน้มกิ่งลง

และที่เธอคุ้นชิน แววตาพ่อ สีหน้าพ่อ ยามมองลูกเมีย จะเปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงใยเอาใจใส่

อนิลทิตาสะอื้นฮัก เมื่อสำนึกเตือนว่า พ่อที่รู้อกรู้ใจลูกได้จากไปแล้ว

พ่อที่กระซิบกระซาบกับแม่ ไม่ให้ปลุกเธอ เมื่อเธอไปถึงบ้าน ตั้งใจจะนอนเล่นๆ แล้วเผลอหลับด้วยความอ่อนเพลีย

พ่อที่ยืนมองตาม ไม่ยอมปิดประตูจนกว่ารถลูกสาวจะลับจากสายตา ยามเธอกลับบ้านและต้องจากมา

พ่อ ที่พยายามทำเสียงร่าเริงแม้จะผิดหวัง เมื่อรู้ว่าเธอจะยังกลับบ้านไม่ได้ตามที่บอกไว้ล่วงหน้า เพราะมีงานด่วนในวันหยุด

พ่อ ที่จะส่งเสียงบอกผ่านแม่... “ช่วงนี้อากาศแย่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวอย่าลืมเตือนลูกให้ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะคุณ” ก่อนแม่จะวางสายจากเธอ

พ่อที่ห่วงไปถึงกระทั่งเรื่องอาหารการกิน เพราะรู้ว่าเธอกินเผ็ดไม่ได้ เป็นที่รู้ว่าอาหารโปรดของเธอคือน้ำพริกกะปิ แม่ก็จะทำขึ้นโต๊ะให้ทุกครั้งที่เธอกลับบ้าน จะมีพ่อคอยเตือนให้แม่ใส่พริกแต่น้อย กลัวแม่จะลืมด้วยความเคยชิน เนื่องจากพ่อกินเผ็ด แต่เธอนั้นกินเผ็ดไม่ได้เลย

เวลานี้พ่อจากเธอไปแล้ว!

ทำไม...

พ่อของเธอเป็นคนแข็งแรง แล้วอย่างไรเกิดจะหัวใจวายกะทันหัน จากลูกเมียไปโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะสั่งลา

ม่านน้ำตาบวกกับสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างหนัก ทำให้อนิลทิตาไม่สามารถขับรถไปต่อได้ ต้องแอบรถเข้าจอดข้างทาง เปิดไฟเลี้ยวให้กระพริบไว้เป็นที่สังเกตเห็นของรถที่แล่นมาข้างหลัง จากนั้นก็ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย ร้องไห้โฮออกมาดังๆ ไม่ทันคิดว่าจะเป็นอาการช็อกมาล่า

นับแต่ได้ข่าวการเสียชีวิตของบิดา ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก ตั้งสติได้ก็รีบจัดกระเป๋าแล้วขับรถออกมาจากอพาร์ตเมนต์ที่พักอยู่

โชคดีว่าวันนี้วันหยุด ไม่ต้องไปทำงาน ไม่อย่างนั้นก็คงเสียเวลาออกไปอีก เพราะจะต้องลางานให้เรียบร้อย แต่นี่หลังรับโทรศัพท์ จัดกระเป๋าเสร็จ ก็ออกเดินทางได้เลย เรื่องงานเอาไว้วันจันทร์ค่อยโทรลาก็ได้

อนิลทิตาปล่อยน้ำตาไหลทะลัก สะอื้นจนหลังไหล่หอบโยนอยู่พักใหญ่ จึงเงยหน้าปาดน้ำตาหยดสุดท้ายทิ้งไป บอกตัวเองว่า จะอ่อนแอไม่ได้ ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ ร้องไห้ฟูมฟายไปก็เท่านั้น

ถ้าสวรรค์มีจริง บิดามองลงมา คงจะพอใจมากกว่าถ้าเธอจะทำตัวเป็นหลักให้ทุกคนในครอบครัว ในช่วงเวลาเช่นนี้

แม่เธอเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง แต่ในยามสูญเสียสามีไปกะทันหันแบบนี้ก็คงแทบทรุด สำหรับพี่สาวก็เป็นที่รู้อยู่ อาศัยพึ่งพาอะไรมากไม่ได้

รถคันเล็กเคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่ก็ยังไปไม่ได้ไวเช่นเดิม

เวลาล่วงเลยไปกว่ายี่สิบนาที อนิลทิตาก็ถอนใจโล่งอก เมื่อมองเห็นป้ายตรงทางแยกข้างหน้า

แต่พอถึงทางแยกเข้าจริงๆ ทันทีที่เธอเลี้ยวรถจากถนนใหญ่ ก็ถูกตำรวจสวมเสื้อฝนสีส้มเห็นแต่ไกล ที่มาตั้งด่านขวางการจราจร ทำสัญญาณมือให้จอด