๓ พ่อของหนู (๓)
ไม่ได้ทำเพราะเธอสักหน่อย...เขาพยายามเชื่อว่าตัวเองคิดเช่นนั้น
“เอาไปใช้เถอะ” คราวนี้มะลิถึงกับชะงัก มองใบหน้าคมนิ่งเหมือนต้องการค้นหาว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า สบดวงตาคมที่ยังเย็นชาเหมือนเดิมแล้วนึกสงสัยว่าทำไมถึงใจดีกับเธอ ซึ่งคำถามในใจไม่อาจได้รับคำตอบ จึงทำได้เพียงหันไปบอกนางอุบลก่อนมองคนตรงหน้า
“ขอบคุณค่ะแม่...ขอบใจนะ” ชัชชนทำแค่พยักหน้าไปตามเรื่อง รับประทานอาหารด้วยความหิวพร้อมกับฟังหนูน้อยพูดคุยอย่างออกรส แม้จะไม่ชอบคนเป็นแม่ก็แยกแยะได้ไม่เอามาปะปนกับเด็กน้อยเป็นอันขาด
จงกลณีน่ารักกว่าคนเป็นแม่เสียอีก...
รับประทานอาหารเรียบร้อยทั้งนางอุบลและมะลิต่างก็ช่วยกันล้างจานแม้ว่าเจ้าของบ้านจะปฏิเสธก็ไม่อาจขาดความตั้งใจของหล่อนได้ เอาเรื่องรถยนต์ที่อีกฝ่ายให้ยืมเป็นข้ออ้าง สุดท้ายจึงได้ยินล้างจานด้วยกันปล่อยให้ร่างหนาเล่นสนุกกับเด็กหญิงอยู่โถงกลางบ้าน
“ทำไมน้าชัชชนะอีกแล้วล่ะ! โกงหรือเปล่า” นั่งเป่ายิงฉุบกันอย่างสนุกสนาน ใครชนะจะสามารถตีแขนคนแพ้ได้ แล้วดูเหมือนว่าชัชชนจะเก่งในเรื่องนี้เพราะเอาชนะได้ทุกรอบ ทำให้เด็กหญิงเริ่มหงุดหงิดทำหน้าบึ้งตึง
“โกงอะไร ไม่ได้โกงสักหน่อย อยากอ่อนเองช่วยไม่ได้ เอาอีกรอบเร็ว” สนุกกับการหยอกล้ออีกฝ่าย เมื่อหนูน้อยดูง่ายเสียเหลือเกิน ลงอย่างเดิมซ้ำไปมาอยู่สองสามรอบ เขาจึงดูทางได้แล้วเอาชนะตลอดจนได้ตีแขนกลมแต่ก็พยายามเบาแรงไม่ให้เกิดอาการเจ็บ
แต่เหมือนว่าจะทำให้คนโดนตีไม่พอใจ รีบชักแขนหนีแล้วขยับออกห่าง ยกมือขึ้นกอดอกพลางทำปากเบะเมื่อไม่มีสิ่งใดได้ดั่งใจตัวเอง
“ไม่เล่นแล้วน้าชัชโกง” นั่งหันหลังให้ทันที ทำเอาคุณน้าต้องรีบง้องอนอย่างรวดเร็ว คว้าแขนหลานสาวแล้วพยายามบอกให้หันมาเพื่อเล่นสนุกด้วยกันอีก
“อีกรอบ รอบเดียวๆ” พูดพลางอ้อนจนคนอายุน้อยจำต้องเป่ายิงฉุบอีกครั้ง ก่อนปากอวบอิ่มจะยิ้มกว้างเมื่อตัวเองเป็นฝ่ายชนะบ้าง หัวเราะร่ามีความสุขทันทีทำให้เขาเผยอปากยิ้มตาม เอ็นดูจงกลณีเป็นอย่างยิ่งแม้จะไม่ชอบแม่ของเด็กน้อยก็ตาม
“เย้! หนูชนะ! เอาแขนมาเลย” ยอมยื่นแขนให้แต่โดยดี เจ้าตัวเห็นอย่างนั้นก็ตีลงมาไม่ยั้งมือซึ่งแรงของเด็กน้อยก็ไม่กระเทือนเขาสักนิด กลับยิ้มมีความสุขแล้วเล่นกันพักใหญ่กว่าร่างบางจะเดินมาหาบุตรสาวเมื่อได้กุญแจรถยนต์ของชัชชนมาไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย
“กลับกันเถอะลูกเดี๋ยวจะถึงบ้านดึก” เพียงแค่กวักมือเรียกเจ้าตัวเล็กก็รีบลุกยืนแล้วสะพายกระเปาเรียบร้อย ยกมือไหว้คุณน้าสุดหล่ออย่างนอบน้อมแล้วหันไปทำความเคารพนางอุบลที่ยืนส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“ค่ะ น้าชัชสวัสดีค่ะ ยายสวัสดีค่ะ” สองแม่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบที่ทำให้หญิงวัยกลางคนนึกเหงา ร่างสูงลุกยืนแล้วเดินไปอาบน้ำหลังจากทำงานเหนียวตัวมาทั้งวัน ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินออกมานั่งที่กลางบ้านกับมารดาซึ่งกำลังดูละครหลังข่าว
จอโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้วเปิดค้างไว้พร้อมกับเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปเรื่อยๆ แต่กลับไม่อยู่ในความสนใจของผู้รับชมสักนิด เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูสิ่งที่สนใจไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น กระทั่งเห็นว่านางอุบลใจไม่อยู่กับเนื้อตัว จึงยกมือขึ้นโบกตรงหน้าก่อนถามด้วยความสงสัย
“เหม่ออะไรน่ะแม่” ปกติไม่เห็นเป็นแบบนี้ มักจะมีอารมณ์ร่วมตามละครที่รับชม กลับเป็นลูกชายที่ต้องถามถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
“ชัช...ความจริงแม่ก็คิดมานานแล้วล่ะแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาสักที แม่อยากถามชัชว่าตอนที่คบกับมะลิมีอะไรเกินเลยหรือเปล่า” ถอนหายใจไล่ความกลัดกลุ้ม ถามถึงเรื่องที่ตัวเองไม่กล้าเอ่ยมานานเพราะรู้ว่าบุตรชายยังมีบาดแผลจากรักครั้งแรก
ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแผลนั้นก็เหมือนจะยังไม่สมานสักที แต่วันนี้ได้เห็นสายตาของคนทั้งสองที่มองกัน จึงตัดสินใจพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ทำให้ร่างหนาถึงกับชะงัก วางโทรศัพท์ลงบนพื้นพร้อมหันมามองมารดาด้วยความสงสัยใคร่รู้
“แม่หมายความว่ายังไง” เร่งถามเสียงเข้มอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ของเราสองคนที่ทำในวัยอยากรู้อยากลองและตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน ความรักที่มองให้และสัมผัสแสนหวานที่ได้รับจากเธอยังตราตรึงในใจ
หล่อนคือคนแรกในทุกเรื่องของเขา...
“ตอบแม่มาก่อน ตกลงเกินเลยกันไหม” ละครแสนสนุกไม่ได้รับความสนใจ สองแม่ลูกหันมองหน้ากันโดยที่นางอุบลก็ยิ่งลุ้นกับคำตอบ กระทั่งเขาถอนหายใจบอกความจริงทุกอย่างไม่กล้าจะสบตามารดาด้วยซ้ำ
“ก็...ตอนนั้นมันเด็กแล้วอยากรู้อยากลองด้วยน่ะแม่” คำตอบชัดเจนแล้วทำให้โดนจี้หนักกว่าเดิม ไม่รู้ทำไมมารดาถึงได้มาถามเอาป่านนี้ รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงหรอก เขาคิดเช่นนั้นแต่ก็ยังตอบคำถามของอีกฝ่าย
“เริ่มตอนไหน”
“ช่วงมอหกน่าจะใกล้ปิดเทอม...เรื่องนานมาแล้วผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน อีกอย่างก็ไม่อยากคิดอะไรแล้วด้วย ยังไงเขาก็มีครอบครัว...” เตรียมจะลุกเข้าห้องไม่อยากคิดถึงเรื่องในอดีต กลับถูกนางอุบลจับแขนไว้พร้อมกับบอกเสียงสั่น
เหมือนว่าสิ่งที่สงสัยมาตลอดกำลังจะเป็นจริง ไล่ถามชัชชนจนความจริงเริ่มกระจ่าง เมฆหมอกที่บังเอาไว้ค่อยสลายไปจนเห็นหนทางให้เดินไปข้างหน้า
“มะลิหย่ากับสามีตั้งหลายปีแล้ว น่าจะแต่งไม่ถึงปีด้วยซ้ำ” ร่างหนาถึงกับชะงักไม่ทราบเรื่องราวของหล่อนมาก่อน หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นขณะที่ฟังมารดาพูดความสงสัยจนหมดเปลือก มองหน้าจงกลณีนานเท่าไหร่ก็เห็นถึงความคล้ายกับบุตรชายของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้จึงได้ถามเรื่องที่สงสัยมาโดยตลอดแต่กลับไม่เคยเปิดใจเคลียร์กับลูกเลยสักครั้ง เพราะเห็นว่าทุกคนเดินไปข้างหน้าแล้ว ไม่ควรเอาอดีตมาฉุดรั้งอีก
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองคิดผิดมหันต์...
“สามีเขาชอบพูดว่าบัวไม่ใช่ลูก แล้ว...หลังจากแต่งงานได้แค่หกหรือเจ็ดเดือนมะลิก็คลอด” พูดจบก็เว้นไปพักหนึ่งเพื่อมองหน้าลูกชาย อีกฝ่ายแสยะยิ้มเมื่อได้ทราบแล้วยังกล่าวหาทั้งที่ไม่ทราบความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท้องก่อนแต่ง หึ”
“มะลิแต่งงานหลังจากที่ลูกไปกรุงเทพฯ ได้ไม่นาน แม่ได้ข่าวว่าพ่อเขาบังคับให้แต่งไม่ได้รักกันด้วยซ้ำ ชัชคิดว่ายังไง...” ความเคลื่อนไหวในหมู่บ้านทราบจากแม่ค้าที่สนิทสนมกัน แต่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนกระทั่งได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะ เห็นแววตาของมะลิและการเข้ากันของลูกชายตนกับเด็กหญิงวัยเก้าขวบ
มันมีบางอย่างมาสะกิดใจจนในที่สุดต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสียเอง...
“แม่จะพูดอะไรกันแน่ ผมโง่นะแม่ อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะ” เริ่มสงสัยจนกลายเป็นหงุดหงิดเพราะไม่อาจคาดเดาความคิดของมารดาได้ แม้จะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดด้วยใจสั่นไหว ก็ยังไม่มั่นใจว่าจริงหรือเปล่า
